ทำความรู้จักกับ ซินไบโอติก Synbiotics เพื่อร่างกายที่สมดุล

 

สุขภาพดีเริ่มต้นที่การขับถ่ายดี ส่งผลให้ร่างกายเกิดความสมดุล ซึ่งความสมดุลสร้างได้ไม่ยาก หากมีตัวช่วยดีๆ อย่าง ซินไบโอติก (Synbiotics) มาทำความรู้จัก “ซินไบโอติก” ผู้ช่วยสุดเจ๋งที่จะทำให้ร่างกาย สุขภาพของคุณมีความสมดุล ขับถ่ายดี เติมเต็มความสุขได้ในทุกๆ วัน โดย “คุณแพร – ภญ. วรผานิตย์ กำเนิดสิทธิเสรี” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศิริเวช ฟาร์ม่า และ เภสัชกรประจำร้านศิริเวช พร้อมที่จะบอกต่อถึงประโยชน์มากมายของซินไบโอติกแล้ว

 

ซินไบโอติก Synbiotics คือ

โพรไบโอติก (Probiotics) + พรีไบโอติก (Prebiotics) = ซินไบโอติก (Synbiotics) ซึ่งเขาจะช่วยในเรื่องของการขับถ่าย เรื่องลำไส้ การขับถ่ายที่ดีจะส่งผลให้ทุกอย่างดีขึ้น เพราะการขับถ่ายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ส่งผลต่อการใช้ชีวิตหลายอย่าง ซึ่งซินไบโอติกประโยชน์เยอะมาก นอกจากช่วยเรื่องขับถ่ายแล้ว ก็ช่วยเรื่องคลายความเครียดได้ด้วย ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดีขึ้น เคยมีคนไข้ถามถึงปริมาณที่มากเกินไปของซินไบโอติก เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะมีผลเสียไหม คำตอบคือซินไบโอติกไม่ได้มีผลเสีย แต่หากเราบริโภคมากเกินไปร่างกายจะขับทิ้งและซินไบโอติกเขาจะมีอายุของเขาเองด้วย อยู่ได้ประมาณ 24 ชั่วโมง ถามว่ากินเยอะได้ไหม ก็ได้แต่ประโยชน์ที่ได้รับก็ตามที่ร่างกายต้องการ กินเยอะไม่เป็นผลเสียต่อร่างกาย แต่แพรแนะนำให้กินในปริมาณที่พอดีเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะความบาลานซ์ให้ร่างกายมีความสมดุลเป็นเรื่องที่สำคัญ

 

ซินไบโอติก

โพรไบโอติก Probiotics

โพรไบโอติก มี 2 ประเภทคือ แบคทีเรียและยีสต์ที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร และระบบอื่นๆของร่างกาย และที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่คือ โพรไบโอติกแบคทีเรีย การทำงานของโพรไบโอติกเพียงตัวเดียวจะไม่สามารถทำงานจึงต้องมีอาหารเติมให้เขา ซึ่งในที่นี้ HMO เป็นอาหารชั้นเยี่ยมให้กับโพรไบโอติกได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างภูมิต้านทาน ช่วยแก้ไขเรื่องท้องผูก ป้องกันไวรัส ตอนนี้โพรไบโอติก มีงานวิจัยทางการแพทย์และได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเขาช่วยลดอาการคนที่เป็นโรคซึมเศร้าได้ด้วย เนื่องจากไปเชื่อมโยงกับสารสื่อระบบประสาทในสมองได้ ผ่าน Gut-brain axis
Gut-brain axis แกนที่เชื่อมโยงกันระหว่างลำไส้และระบบประสาทในสมอง เมื่อลำไส้ทำงานดี ส่งผลให้สมองเราทำงานดีไปด้วย  สำหรับคนที่สุขภาพดีไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่อาจะมีอาการท้องผูกถ่ายไม่ดีก็เติมโพรไบโอติกได้ แต่สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้าจะเห็นชัดมาก เรื่องการแสดงออกทางด้านอารมณ์ ถ้าถามว่ากลุ่มคนที่เป็นโรคซึมเศร้าจะกินยาอย่างเดียวได้ไหม คำตอบคือได้ และผู้ป่วยจะได้รับการรักษา ซึ่งผู้ป่วยหลายท่านที่มาที่ร้านยา เพื่อซื้อยารับการรักษาต่อเนื่อง อาจจะต้องได้รับการเปลี่ยนยาได้ขึ้นกับการพิจารณาการรักษาจากแพทย์ ถ้าย้อนกลับไปดูประวัติผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจจะมีปัญหาเรื่องลำไส้ การขับถ่ายไม่ดี เช่นกัน หากมีตัวโพรไบโอติกช่วยจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นได้

 

พรีไบโอติก Prebiotics

เป็นคู่หูของโพรไบโอติก เรียกว่าขาดกันไม่ได้เลย เพื่อความเข้าใจที่ง่ายมากขึ้น โพรไบโอติก จะเป็นหน้าที่ออกฤทธิ์ทำงาน เป็นเหมือนเครื่องจักร ส่วน พรีไบโอติก เปรียบเสมือนน้ำมันเติมเข้าไปเพื่อให้โพรไบโอติกทำงานได้ดี และไม่ใช่ว่ามีเพียงไฟเบอร์จะเป็นพรีไบโอติกได้ แต่พรีไบโอติกที่ดีต้องช่วยย่อยให้โพรไบโอติกเอาไปใช้งานได้เลย หนึ่งในนั้นก็คือ HMOs (Human Milk Oligosaccharides) ช่วยให้โพรไบโอติกทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

 

HMOs (Human Milk Oligosaccharides) คือ

HMOs (Human Milk Oligosaccharides) หรือ 2’- Fucosyllactose หรือ 2′-FL คือสารอาหารในกลุ่ม โอลิโกแซ็กคาไรด์เป็นสารในนมแม่ เด่นในเรื่องของสร้างภูมิต้านทาน และเป็นอาหารของโพรไบโอติกชั้นเยี่ยม ช่วยให้โพรไบโอติกทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากๆ ช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานได้ ช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้ดี เช่น ไวรัสที่ทำให้เราป่วยเป็นโรคต่างๆ หรือแบคทีเรียตัวร้ายที่จะมาทำลายลำไส้เรา

โพรไบโอติกช่วยเรื่องการขับถ่าย สร้างความสมดุลให้ร่างกาย และ HMOs สารที่อยู่ในน้ำนมแม่ จึงมีส่วนช่วยให้โพรไบโอติกทำงานได้ดีขึ้น หลายคนสงสัยว่า สาร HMOs ที่เราบอกมาจากน้ำนมแม่ แล้วผู้ใหญ่อย่างเราๆ รับแล้วยังมีประโยชน์อยู่ไหม คำตอบคือมีประโยชน์ค่ะ เพราะอย่างที่เล่าไปข้างต้น HMOs เป็นเพียงสารที่อยู่ในน้ำนมแม่ซึ่งเป็นเพียงแหล่งผลิตแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง ซึ่งประโยชน์ของ HMOs สามารถช่วยได้แบบไม่จำกัดอายุ ไม่จำกัดวัย เพราะร่างกายของเราต้องการภูมิต้านทานตลอดเวลา HMOs จึงสำคัญสำหรับทุกคน

 

“คุณแพร – ภญ. วรผานิตย์ กำเนิดสิทธิเสรี”
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศิริเวช ฟาร์ม่า จำกัด และ เภสัชกรประจำร้านศิริเวช

โปรไบโอติก จุลินทรีย์ตัวจิ๋ว พลิกชีวิตให้คนขับถ่ายยาก

เพราะเราไม่สามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะภายในร่างกายเหมือนผิวพรรณและหน้าตา ดังนั้น “การปรับสมดุลร่างกาย” จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืน เพราะเมื่อระบบภายในเกิดความสมดุลแล้ว ร่างกายก็จะอยู่ในสภาพปกติ ที่สำคัญคือช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ เพราะกลไกภายในร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

ระบบทางเดินอาหาร เป็นระบบที่สำคัญมากต่อร่างกาย เพราะเกี่ยวข้องกับระบบในร่างกายที่สำคัญอีกหลายระบบ เนื่องจากระบบทางเดินอาหารจะคอยลำเลียงอาหาร ย่อยอาหารที่เรารับประทานเข้าไป ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารและดูดซึมสารอาหาร เพื่อไปใช้หล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ และเป็นพลังงานให้กับร่างกาย อีกทั้งช่วยซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ ไปจนถึงช่วยทำให้ระบบขับถ่ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ดังนั้นระบบทางเดินอาหารจึงเป็นระบบที่ควรได้รับความสมดุล เพื่อให้ระบบภายในอื่น ๆ แข็งแรงและสุขภาพดีอยู่เสมอ ซึ่งเราสามารถดูแลและปรับสมดุลระบบทางเดินอาหาร ระบบขับถ่าย และระบบภายในอื่น ๆ ของร่างกายได้ง่าย ๆ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า “โปรไบโอติก” (Probiotic)

โปรไบโอติก คือ

จุลินทรีย์ชนิดดีที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว พบมากในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งคอยทำหน้าที่ดูแลระบบทางเดินอาหารให้มีประสิทธิภาพ ช่วยเรื่องการย่อยอาหาร การดูดซึมสารอาหาร ระบบขับถ่าย และช่วยสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย แต่ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของหลาย ๆ คนที่ทำลายโปรไบโอติกในร่างกายโดยไม่รู้ตัว จึงทำให้เราจำเป็นต้องเพิ่มโปรไบโอติกให้ร่างกาย ด้วยการหาอาหารที่มีโปรไบโอติกมารับประทาน เช่น นมเปรี้ยว โยเกิร์ต ถั่วนัตโตะ น้ำส้มสายชูหมัก กิมจิ ซุปมิโซะ ฯลฯ หรือจะเลือกรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมที่มีโปรไบโอติกก็ได้เช่นกัน

เมื่อเรารับประทานโปรไบโอติกเข้าไปแล้ว โปรไบโอติกจะเข้าไปจับกับผิวบริเวณเยื่อบุลำไส้ แล้วผลิตสารต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่ดี ส่งผลให้ร่างกายเกิดความสมดุลในหลาย ๆ ด้าน อาทิ

  • ระบบย่อยอาหารเกิดความสมดุล ทำให้การดูดซึมสารอาหารไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 
  • จุลินทรีย์ในระบบย่อยอาหารเกิดความสมดุล ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคกระเพาะอาหาร โรคลำไส้แปรปรวน ท้องร่วง ท้องผูก โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ทำให้อารมณ์ไม่แปรปรวน ฟันไม่ผุ เป็นต้น
  • ลำไส้เกิดความสมดุล การกำจัดของเสียหรือสารพิษเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ลำไส้ไม่แปรปรวน ระบบเผาผลาญดี ผิวพรรณดีขึ้น การนอนหลับดี ไม่อ่อนเพลีย ฯลฯ 
  • ช่วยการป้องกันการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย เช่น โรคกระเพาะ โรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน เป็นต้น
  • ระบบขับถ่ายเกิดความสมดุล เกิดการขับถ่ายทุกวันอย่างพอดี อาการท้องผูกบ่อยหรือท้องเสียบ่อยดีขึ้น ไม่มีอุจจาระตกค้างในร่างกาย อันนำไปสู่ปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น เป็นสิวเรื้อรัง ร่างกายอ่อนเพลีย ป่วยง่าย ติดเชื้อง่าย 
  • ระบบทางเดินปัสสาวะเกิดความสมดุล เนื่องจากโปรไบโอติกจะช่วยลดโอกาสในการเกิดการอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะได้ ลดโอกาสในการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะได้
  • ภูมิคุ้มกันของร่างกายสมดุล ป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้ และทำให้อาการภูมิแพ้ดีขึ้นได้

เห็นแล้วใช่ไหมว่า โปรไบโอติกนั้นสำคัญต่อร่างกายมากจริง ๆ เพราะมีส่วนช่วยปรับสมดุลให้กับสุขภาพของเราได้ นอกจากการรับประทานโปรไบโอติกแล้ว เราแนะนำให้หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพื่อสุขภาพที่ดีและมีความสมดุลในระยะยาว 

 

คุณแม่ตั้งครรภ์ระบบขับถ่ายไม่ดี โพรไบโอติกช่วยได้ สบายท้อง

สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ โดยส่วนใหญ่มักมีอาการท้องผูก ทำให้ร่างกายรู้สึกไม่สบายตัว มีความเครียดเข้ามาร่วมด้วย อีกทั้งฮอร์โมนต่างๆ ก็ส่งผลให้ท้องผูกได้ หากในช่วงตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะท้องอ่อน ท้องแก่ เกิดท้องผูกขึ้นมา สิ่งสำคัญ คุณแม่ต้องผ่อนคลายและไม่เครียด หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการทำให้ท้องผูกได้ ซึ่งการท้องผูกหากปล่อยไว้นานๆ จะส่งผลต่อลูกในท้องได้ และสิ่งที่เป็นตัวช่วยคุณแม่ตั้งครรภ์และมีอาการท้องผูกได้อย่างดี คือ โพรไบโอติก (Probiotics) แล้วเขาช่วยคุณแม่ได้อย่างไรนั้นไปทำความรู้จักกับโพรไบโอติกกันได้เลย

 

ตั้งครรภ์ ระบบขับถ่ายไม่ดี ท้องผูกเกิดจากอะไร

ระบบขับถ่ายไม่ดี ท้องผูก สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไปสำหรับคนท้อง และไม่เป็นอันตรายมาก แต่หากปล่อยไว้นานๆ จนเรื้อรัง ปวดท้องถ่ายแล้วมีมูก ต้องรีบไปหาหมอโดยด่วน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ช่วงตั้งครรภ์ ท้องผูก มีหลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่ เพราะฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่มีปริมาณสูงขึ้น การกินอาหารที่มีธาตุเหล็กที่เยอะขึ้น เพื่อเสริมสร้างลูกน้อยก็ส่งผลให้ท้องผูกได้ เราแนะนำว่าคุณแม่ควรดื่มน้ำเปล่าให้ได้ปริมาณที่เพียงพอและกินอาหารที่มีกากใยให้มาก ผัก ผลไม้ แต่ระวังเรื่องผลไม้ที่น้ำตาลเยอะด้วย อาจส่งผลให้เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้เช่นกัน

 

โพรไบโอติก ช่วยคุณแม่ ให้ระบบขับถ่ายดี

สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ อาจมีคำถามในขณะตั้งครรภ์สามารถกิน โพรโบติกได้หรือไม่? และเพื่อคลายความกังวลเราแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานได้เช่นกัน แต่อันที่จริงแล้ว โพรไบโอติกเป็นประโยชน์สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ เนื่องจากโพรไบโอติกเป็นจุลินทรย์ที่มีอยู่ในร่างกายเราอยู่แล้ว จึงไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ แต่ก่อนรับประทานอย่าลืมว่า ปรึกษาคุณหมอก่อน ไม่ว่าจะกินอาหาร
เสริมใดๆ ก็ตาม 

โพรไบโอติก มีปะโยชน์อย่างไร

โพรไบโอติก คือ จุลินทรีย์ขนาดเล็กชนิดดี ซึ่งอยู่ในร่างกายของเราอยู่แล้ว แต่ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตส่งผลให้จุลินทรีย์โพรไบโอติกลดลงได้ เราจึงจำเป็นต้องเสริมเข้าไป เพื่อช่วยให้การทำงานของระบบทางเดินอาหารและระบบการทำงานอื่นๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างดี และเพื่อประโยชน์การเสริมมากไปไม่ใช่เรื่องดี ดังนั้นเราต้องได้รับในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งก่อนรับประทานต้องอ่านคำแนะนำอย่างถี่ถ้วน ทำความเข้าใจกันก่อนเสริมร่างกายด้วยโพรไบโอติก จึงจำเป็นและมีประโยชน์ต่อทุกคน ไม่เพียงแค่สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์เท่านั้น และนี่คือประโยชน์ของโพรไบไบโอติก เจ้าจุลินทรีย์ตัวจิ๋วแต่ประโยชน์ไม่ธรรมดาเลย

  • สร้างและปรับสมดุลให้กับร่างกายได้ดี
  • ช่วยรักษาสมดุลจุลินทรีย์ในร่างกายที่สูญเสีย 
  • รักษาสมดุลระบบย่อยอาหาร
  • ป้องกัน และบรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน ท้องร่วง ท้องผูก
  • ลดการอักเสบ และติดเชื้อ เช่น ในระบบทางเดินปัสสาวะ และช่องคลอด

สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ที่มีอาการท้องผูก ระบบขับถ่ายไม่ดี หรือท้องเสีย เบื้องต้นหากลองปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและไลฟสไตล์ต่างๆ แล้วก็ยังไม่ดีขึ้น โพรไบโอติก เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยทำให้คุณแม่ปรับสมดุลของระบบทางเดินอาหารได้ เพื่อการขับถ่ายที่ดีขึ้น ปัจจุบันในท้องตลาดมีหลากหลายผลิตภัณฑ์ให้ได้เลือกซื้อรับประทาน แต่เนื่องจากกำลังตั้งครรภ์อย่าลืมว่า ไม่ควรซื้ออาหารเสริม หรือวิตามินต่างๆ กินเอง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง

สามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ AB+ PRO Support Immune & Digestive Health สำหรับผู้ใหญ่ ได้แล้ว คลิกเลย 

น้ำนมแม่มีน้อย HMOs ช่วยได้ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อย

เป็นที่ยอมรับอย่างเป็นสากลว่าน้ำนมแม่ อุดมไปด้วยสารอาหารและดีต่อทารกมากที่สุด ซึ่งหนึ่งในสารอาหารสำคัญมีหน้าที่เสริมภูมิต้านทานในเด็กแรกเกิดนั่นคือ HMOs เชื่อว่าเหล่าแม่ๆ น่าจะเคยได้ยินชื่อนี้กันอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่สงสัยว่า HMOs คืออะไร ซึ่งคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญบอกไว้ว่า ควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ล้วนใน 6 เดือนแรก แต่ก็มีคุณแม่จำนวนไม่น้อยเลยที่ต้องประสบกับปัญหาในการให้นมลูก ตัวอย่างเช่นแม่น้ำนมน้อย อาจด้วยสาเหตุทางสุขภาพ แม่ขาดสารอาหาร พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือแม้แต่เรื่องความเครียดก็สามารถส่งผลให้สุขภาพแม่ไม่พร้อมให้นมลูกได้เช่นกัน ในกรณีที่คุณแม่ไม่มีน้ำนมให้ลูกไม่ได้หมายความว่า ลูกน้อยจะได้สารอาหารไม่ครบ เพราะปัจจุบันมีนมผงที่มีสาร HMOs อยู่ด้วยเพื่อให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ ควบคู่ไปกับการให้นมแม่ด้วย 

 

HMOs  คืออะไร 

HMOs คือ (Human Milk Oligosaccharides) หรือโอลิโกแซคคาไรด์ที่เป็นใยอาหารสำคัญประเภทคาร์โบไฮเดรต และเป็นหนึ่งในส่วนประกอบที่มีปริมาณรองจากแลกโตสและไขมัน ซึ่งจะพบได้ในน้ำนมแม่ แต่ถ้าหากคุณแม่ที่มีปัญหาสุขภาพ ไม่สามารถให้นมลูกได้ เรื่องนี้คงน่าหนักใจไม่น้อย แต่ด้วยนวัตกรรมที่ก้าวหน้าในปัจจุบันทุกอย่างมีทางแก้เสมอโดยเฉพาะวิทยาการด้านโภชนาการที่มีความล้ำหน้ามากกว่าที่เราคิด เพราะฉะนั้นคุณแม่ที่ไม่มีนมให้ลูกไม่ต้องกังวลไป ปัญหานี้สามารถแก้ได้ด้วยนมผงสำหรับทารก และที่สำคัญคือลูกน้อยยังได้สารอาหารครบถ้วนตามวัยแม้ไม่ได้กินนมแม่

 

2’-FL HMOs มาจากไหน

เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าลูกควรได้รับสารอาหารประเภทไหนบ้าง เมื่อน้ำนมแม่มีน้อย สิ่งที่คุณแม่ต้องคอยสังเกตคือสูตรต่างๆ ของนมผมนั่นเอง อย่างที่เราทราบกันอยู่แล้วว่านมแม่มี HMO ที่เป็นสารอาหารที่พิเศษสำหรับเด็ก มีข้อมูลวิจัยระบุไว้ว่าภายในโครงสร้างของโอลิโกแซคคาไรด์พบใยอาหารธรรมชาติมากกว่า 200 ชนิด ซึ่ง 2’-FL (2’-fucosyllactose) เป็นหนึ่งใน HMOs ที่มีจำนวนมากที่สุดในน้ำนมแม่ อุดมไปด้วยสารอาหาร และแม่จะผลิต 2’-FL HMOs ออกมาได้ในระยะหัวน้ำนมหรือใน 1-3 วันแรกเท่านั้น เมื่อคุณแม่เจอนมผงที่ระบุบนฉลากไว้ว่ามี 2’-FL หรือ 2’-FL HMOs นั่นหมายความว่านมผงยี่ห้อนั้นได้เสริมใยอาหารที่มีความคล้ายนมแม่ลงไปนั่นเอง

 

HMOs เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

เนื่องจาก HMOs เป็นใยอาหารประเภทพรีไบโอติกซึ่งจะถูกย่อยด้วยจุลินทรีย์ชนิดดีหรือโพรไบโอติก เมื่อได้ทำงานร่วมกับสารอาหารอื่นๆ HMOs จึงทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยกระตุ้นให้เซลล์สร้างภูมิคุ้มกันเพื่อเป็นเกราะป้องกันเชื่อไวรัสรวมไปถึงแบคทีเรียต่างๆ ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้ลำไส้ใหญ่มีความสมดุล ช่วยป้องกันไวรัสที่จะมาเกาะบริเวณเยื่อบุลำไส้ และสามารถลดอาการท้องผูกให้ลูกน้อยได้เป็นอย่างดี

 

ตัวช่วยดูแลระบบทางเดินอาหารอื่นๆ 

แม่มีน้ำนมน้อย ตัวช่วยเสริม HMOs  และรวมพลังกันยิ่งมีประสิทธิภาพ เมื่อใดที่พบว่าเด็กมีอาการงอแง อารมณ์ไม่ดี อาจมีสาเหตุมาจากความไม่สบายตัว ขับถ่ายไม่ออก หรือเกิดอาการท้องผูก ปัญหานี้คุณแม่แก้ได้ด้วยการเสริมทรีโอ้ไฟเบอร์ ประกอบไปด้วย กาแล็กโทโอลิโกแซคคาไรด์ (GOS) ใยอาหารจากน้ำตาลและนม ฟรุกโทโอลิโกแซคคาไรด์ (FOS)
ใยอาหารจากพืช และอินนูลิน (Inulin) ใยอาหารชนิดละลายน้ำ เมื่อเสริมทรีโอ้ไฟเบอร์สุขภาพของเด็กก็จะดีขึ้น เพราะเมื่อลำไส้มีความสมดุลและแข็งแรงอาการท้องผูกถ่ายยากก็จะหายไป 

 

แข็งแรงทั้งร่างกายและเสริมสร้างสติปัญญา

เมื่อคุณแม่เลือกนมที่มี HMOs เสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายแล้ว สิ่งที่ต้องควบคู่ไปด้วยกันคือภูมิต้านทานและสมอง นมที่เสริมสร้างพัฒนาการสมองต้องมี MFGM หนึ่งในสารอาหารจากน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารโปรตีนและไขมันกว่า 150 ชนิด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบประสาทและเซลล์สมอง และ DHA สารอาหารในนมแม่ที่มีโอเมก้า 3 ช่วยบำรุงสมองและประสาทตา เรียกได้ว่าเป็นตัวช่วยสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับลูกน้อย แข็งแรงทั้งร่างกายและสมองแบบนี้คุณแม่ปลื้ม

 

เพื่อให้ลูกมีระบบภูมิต้านทานที่แข็งแรงคุณพ่อคุณแม่ควรดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ถ้าเป็นไปได้ควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อย 6 เดือนแรก เพราะจะส่งผลให้ทารกได้รับ HMO อย่างเพียงพอ ในส่วนของตัวคุณแม่เองที่มีนมแม่มีน้อยก็แนะนำให้รับประทานอาหารที่ให้โภชนาการครบถ้วน ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการเพิ่มน้ำนมได้ โดยเฉพาะการเลือกทานหัวปลี ขิง เนื้อสัตว์ ผลไม้ และนม รวมไปถึงสภาพจิตใจและความเครียดของคุณแม่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม  และสำหรับคุณแม่ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ ขับถ่ายไม่ดี มีความเครียดอยู่ไม่น้อย ส่งผลถึงลูกได้เช่นกัน ซึ่ง อาหารเสริมซินไบโอติก Synbiotic (โพรไบโอติกและพรีไบโอติก) อย่าง AB+ (แอ๊บพลัส) ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายคุณแม่ให้ดีขึ้น นอนหลับดี ขับถ่ายเป็นเวลา เมื่อคุณแม่มีสุขภาพดีลูกก็จะแข็งแรงตามไปด้วยนั่นเอง คลิกเลย รายละเอียด สินค้า >> https://www.absolutebalance.co.th/products/ 

เด็กท้องผูก น่ากลัวกว่าที่คิด เสริมวิตามินแบบไหนช่วยลูกได้

ปัญหาท้องผูกในเด็กที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรละเลย เพราะหากปล่อยไว้ลูกอาจเป็นท้องผูกเรื้อรัง ตามมาด้วยอาการเบื่ออาหาร มีพัฒนาการช้าไม่ตรงตามเกณฑ์ และกลายเป็นเด็กขี้หงุดหงิดมีอารมณ์ฉุนเฉียว ซึ่งอาการท้องผูกในเด็กสังเกตได้จากความถี่ในการขับถ่ายน้อยลงกว่าปกติ หรือถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ และเมื่อพบว่าลูกท้องผูกเป็นเวลานานกว่า 1 เดือน จะนับว่าเป็นท้องผูกเรื้อรัง ส่วนสาเหตุมักเกิดจากพฤติกรรมที่เด็กไม่ทานอาหารที่มีกากใย ดื่มน้ำน้อย หรือชอบอั้นอุจจาระ วิธีแก้ไขง่ายๆ คือการสอนให้ลูกปรับพฤติกรรมการขับถ่าย และให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งในปัจจุบันที่มีอาหารมากมายหลากหลายชนิดให้เลือกแบบนี้ ควรเลือกอาหารแบบไหนที่จะดีกับเด็กท้องผูก งั้นมาดูกันเลยว่าอาหารที่มีกากใยและวิตามินประเภทไหนบ้างที่จะช่วยให้อาการท้องผูกของลูกหมดไป

เด็กท้องผูก วิตามินเสริม ช่วยลูกได้

1. เพคติน ช่วยดีท็อกซ์ลำไส้ สบายท้อง 

การเลือกทานอาหารที่ดีท็อกซ์ลำไส้ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาท้องผูกได้ดี หนึ่งในผลไม้ที่มีสรรพคุณดีท็อกซ์ลำไส้นั่นคือมะละกอที่เต็มไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารนั่นเอง ซึ่งมะละกอดิบจะมีสารปาเปนที่มีหน้าที่ช่วยกำจัดคราบของเสียที่เกาะอยู่ตามลำไส้ ส่วนมะละกอสุกมีสารเพคตินที่คอยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวและขับถ่ายของเสียออกมาได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้แล้วก็มีผลไม้ที่ให้เพคตินสูงอีกหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นแอปเปิ้ล ส้ม สับปะรด หรือฝรั่ง จึงควรให้เด็กๆ รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยเพคตินเป็นประจำ เพื่อเป็นการทำความสะอาดลำไส้และป้องกันโรคท้องผูกนั่นเอง

2. เสริมใยอาหารธรรมชาติให้ร่างกาย ด้วยโอลิโกฟรุกโตส

ทำความรู้จักไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้และเต็มไปด้วยใยอาหาร โอลิโกฟรุกโตสเป็นใยอาหารจากธรรมชาติ เมื่อรับประทานเข้าไปจะทำให้จำนวนแบคทีเรียที่เป็นอาหารของโพรไบโอติกเพิ่มขึ้น จึงมีส่วนช่วยทำให้ระบบทางเดินอาหารสมดุล ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมจากอาหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดอาการท้องผูก และขับถ่ายสะดวก ซึ่งคุณแม่สามารถเสริมโอลิโกฟรุกโตสให้ลูกได้จากการรับประทานหัวหอม กระเทียม ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ และผลไม้อื่นๆ นอกจากนี้โอลิโกฟรุกโตสยังถูกนำไปเสริมในขนมต่างๆ เพื่อให้ทานง่ายขึ้น สังเกตได้จากฉลากขนมที่ระบุว่าเป็นสารจากใยอาหาร มักพบในสารแทนความหวานของช็อกโกแลต นม และในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ

3. ไฟเบอร์สูง ขับถ่ายคล่อง

เมื่อพบว่าลูกๆ มีอาการแน่นท้อง ขับถ่ายยาก ไฟเบอร์ช่วยได้ อาการท้องผูกที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากเด็กๆ ไม่ยอมทานผักผลไม้ที่มีกากใย หรือกลั้นอุจจาระบ่อยๆ การเติมไฟเบอร์จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีแก้ท้องผูกสำหรับเด็กได้ดี โดยการฝึกให้ลูกทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ข้าวกล้อง ถั่ว ผักคะน้า บลอคโคลี อะโวคาโด โกโก้ และดาร์กช็อกโกแลต เป็นต้น แต่ถ้าหากเด็กทานยากแนะนำให้นำอาหารต่างๆ มาจัดเรียงใส่จานให้สวยงามหรือตกแต่งให้มีลักษณะคล้ายตัวการ์ตูนที่ลูกชอบ ก็จะทำให้เด็กสนุกกับการทานของยากๆ ได้มากขึ้น

4. ดูแลลำไส้ให้สมดุลด้วย บี แล็กทิส

บี แล็กทิส เป็นสายพันธุ์หนึ่งของจุลินทรีย์ชนิดดีที่แข็งแรงที่สุด ซึ่งเป็นโพรไบโอติกสายพันธุ์สำคัญคอยดูแลรักษาสมดุลในลำไส้ให้ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเมื่อไหร่ที่ลำไส้ของเราเริ่มเสียสมดุลไปแล้วล่ะก็ ภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะตก ท้องเริ่มผูก และตามมาด้วยอาการเจ็บป่วยต่างๆ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถเติม บี แล็กทิส ให้ลูกๆ ได้โดยการให้ทานโยเกิร์ต อาจจะเติมซีเรียลในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้ทานง่ายมากขึ้น หรือจะเลือกเป็นขนมธัญพืชทานคู่กับนมเปรี้ยว ก็น่าจะเป็นเมนูที่เด็กๆ ชอบ และที่สำคัญร่างกายแข็งแรงไม่ต้องทนท้องผูกอีกแล้ว

5. ผัก 3 สี คัลเลอร์ฟูล เต็มไปด้วยวิตามิน

ลูกไม่ค่อยกินข้าว ไม่ชอบกินผักผลไม้ ปัญหานี้ทำให้เหล่าคุณแม่ปวดหัวกุมขมับอยู่ไม่น้อย เพราะเกรงว่าจะทำให้เด็กๆ ได้รับสารอาหารไม่ครบที่ร่างกายต้องการ ตามมาด้วยอาการป่วยง่าย และขับถ่ายไม่เป็นเวลา ปัญหาเหล่านี้แก้ได้ด้วยมื้อคัลเลอร์ฟูลจากผัก 3 สี ที่พกคุณประโยช์มาเต็มๆ ผักสีเขียวอย่างแตงกวา คะน้า ผักบุ้ง จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญช่วยแก้อาการท้องผูก ทำให้ขับถ่ายคล่อง ผักสีแดงอย่างมะเขือเทศ มีเบตาไซซีน แอนโทไซยานิน และไลโคพีนที่ช่วยป้องกันโรคต่างๆ ส่วนผักสีส้ม เต็มไปด้วยวิตามิน C และทำให้หลอดเลือดแข็งแรง หาได้จากข้าวโพด แครอท ฟักทอง เพราะความสนุกของวัยเด็กมักเต็มไปด้วยสีสัน โดยเฉพาะหากมีมื้อผักคัลเลอร์ฟูลแบบนี้ยังไงลูกๆ ก็ต้องเลิฟ

อาหารทั้ง 5 ประเภทเหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยสารอาหารและวิตามินที่ร่างกายต้องการ อีกทั้งยังหาซื้อได้ง่ายตามตลาดหรือซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไป ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรชวนลูกไปออกกำลังกายและดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกายควบคู่ไปด้วย เพราะเมื่อเด็กกลับมามีระบบขับถ่ายดีเป็นปกติแล้วก็จะส่งผลให้ระบบส่วนอื่นๆ ในร่างกายดีตามไปด้วยนั่นเอง

 

วิตามินบํารุงร่างกาย พักผ่อนน้อย 10 สิ่งนี้ช่วยได้ เริ่มด่วน!

ขอเอาใจ ชาว Work Hard, Play Hard งานแน่น งานหนัก จนไม่มีเวลาได้พักผ่อน ทำให้วัยทำงานคือวัยที่ใช้ร่างกายอย่างหนักหน่วงที่สุด ในทุกวันเราต้องใช้สมองเต็มที่ไปกับการทำงานจนลืมให้ความสำคัญกับเรื่องอาหารและการกิน แถมยังพักผ่อนไม่เพียงพอ พฤติกรรมที่เราทำทุกวันแบบนี้นับว่าไม่ส่งผลดีกับร่างกายนัก แต่ถ้าหากมันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ตองหาตัวช่วย  เริ่มจากการหาวิตามินบํารุงร่างกายแล้วค่อยๆ ปรับการกินและการใช้ชีวิตควบคู่กันไป ทางเลือกนี้จะทำให้ร่างกายอันทรงคุณค่าของเรานั้นกลับมามีพลังปั่นงานอีกครั้ง จะบรีฟโหด นอนน้อยแต่นอนนะ หรือใกล้เดดไลน์ยังไงก็สู้ไหว

ทำงานหนัก เติมหน่อย วิตามินบํารุงร่างกาย

1. บำรุงสายตา และผ่อนคลายความเมื่อยล้า ด้วยวิตามิน A

การใช้สายตาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโฟกัสอะไรนานๆ อาจทำให้เกิดอาการตาแห้ง แสบตา ตาล้าได้ การใช้สายตาในที่มืดมากเกินไป หรือบางทีความเครียดสะสมก็ทำให้เราปวดตาได้เช่นกัน ซึ่งการทานอาหารที่มีวิตามิน A ช่วยบำรุงสายตาและลดความเสี่ยงของโรคกระจกตาเสื่อมได้ ซึ่งวิตามิน A มักพบในธัญพืช ผักใบเขียว ผลไม้ที่มีสีแดง สีส้ม สีเหลือง เนื้อสัตว์ และน้ำมันปลา จากโฟกัสเพียงหน้าจอลองแบ่งเวลามาโฟกัสอาหารบำรุงสายตาอีกหน่อย เพียงเท่านี้ตาของเราก็จะใสปิ๊ง

2. บรรเทาอาการวิตกกังวล ด้วยวิตามิน B

การทำงานหนักอาจส่งผลให้เรามีอาการวิตกกังวล มาพร้อมความเครียดสะสม และรู้สึกอุดอู้สมองไม่ไบรท์ ตัวช่วยอย่างวิตามิน B เป็นสิ่งที่ทำให้ปัญหาเหล่านี้บรรเทาลงได้ ส่วนสารอาหารที่สามารถพบวิตามิน B เช่น กล้วย หรือธัญพืชอย่างถั่วลิสง หรืออัลมอนด์ อีกวิธีคือการได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ 6-8 ชั่วโมง หรือถ้าใครถนัดเป็นตัวเลือกอาหารเสริม ก็สามารถหาสิ่งที่เรียกว่าวิตามินบีรวมชนิดเม็ดมากินได้เช่นกัน

3. เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ด้วยวิตามิน C

ฝุ่นเยอะ นอนน้อย อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝน แบบนี้คนเป็นภูมิแพ้รับบทเป็นผู้รับผลกระทบโดยตรง หรือแม้แต่คนที่มีร่างกายแข็งแรงบางทีก็ไม่รอด ช่วงนี้รู้สึกภูมิตก ป่วยง่าย แบบนี้วิตามิน C ช่วยได้ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายด้วยการเลือกกินผักผลไม้ที่มีวิตามิน C สูง เช่น ส้ม มะขามป้อม แอปเปิ้ล มะละกอ บรอกโคลี และคะน้า เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ สร้างเสริมให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีและลดความเสี่ยงจากการป่วยต่างๆ

4. ป้องกันการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูก ด้วยวิตามิน D

เมื่อเราหักโหมใช้ร่างกายอย่างหนัก ผลกระทบที่เรามองไม่เห็นคือร่างกายที่เสื่อมสภาพและมีอายุมากกว่าวัยจริง อายุน้อยแต่ปวดหลัง แถมยังพ่วงโรคต่างๆ อีกมากมาย หากอยากรับแคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีกระดูกที่แข็งแรง ต้องเติมวิตามิน D ให้พอ แต่เมืองร้อนอย่างบ้านเราการรับวิตามิน D จากแสงแดดยามเช้าไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายเลย หลักๆ จึงต้องหันมาหาวิตามิน D จากอาหารแทนจะง่ายกว่า อย่างอะโวคาโด ไข่ต้ม เนื้อปลา หรือนม ดูน่าอร่อยและง่ายกว่าไปยืนตากแดดแน่นอน และวิตามินชนิดนี้ยังช่วยในส่วนของผู้ที่รักการเล่นกีฬาได้ออกกำลังอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย

5. ดูแลทั้งสุขภาพและความงามไปพร้อมกันได้ ด้วยวิตามิน E

หลายคนประสบกับปัญหาหน้าโทรมจากการทำงานหนักและพักผ่อนน้อย แก้ยังไงก็ไม่หายสักที ปัญหาที่คนวัยทำงานอาจไม่ทันนึกถึง บางทีอาจจะมีสาเหตุมาจากร่างกายขาดวิตามิน E ที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ และชะลอความเสื่อมของเซลล์ จึงทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย ซึ่งวิตามิน E สามารถหาได้ทั้งในรูปแบบของอาหาร เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช และในรูปแบบของเครื่องสำอางไม่ว่าจะเป็นโลชั่นบำรุงผิว หรือผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดต่างๆ หากใครอยากดูดีแบบคูณสองคงต้องให้ความสนใจกับวิตามิน E มากขึ้นแล้ว

6. ขจัดความอ่อนเพลีย คืนความสดใสกลับคืนสู่ร่างกาย ด้วยธาตุเหล็ก

แร่ธาตุที่ร่างกายขาดไม่ได้ แล้วถ้ายิ่งเป็นผู้หญิงแล้วก็ต้องยกให้ธาตุเหล็กเป็นแร่ธาตุที่สำคัญเป็นกรีณีพิเศษ หากวันไหนที่อดหลับอบนอนปั่นงานไม่ได้พักแล้วกำลังเป็นวันนั้นของเดือน สิ่งที่สาวๆ ต้องพบเจอคืออาการอ่อนเพลีย หมดแรง จนไม่อยากจะขยับตัวกันเลยทีเดียว การเสริมธาตุเหล็กจะช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ ซึ่งธาตุเหล็กจะเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดง จำเป็นต้องเสริมให้มีมากพอต่อความต้องการของร่างกาย เราจะพบธาตุเหล็กได้จากเนื้อสัตว์ และเครื่องในอย่างตับและเลือด หรือจะหาเป็นอาหารเสริมชนิดเม็ดก็สะดวกตอบโจทย์

7. เสริมความแข็งแรงกระดูก และป้องกันกระดูกพรุน ด้วยแคลเซียม

ป้องกันไว้ก่อน อนาคตจะได้จะได้ไม่ลำบาก หลายคนอาจคิดว่ากระดูกพรุนมักเป็นกันเมื่อสูงวัย แต่อันที่จริงแล้วไลฟ์สไตล์ของเราในแต่ละวันก็ส่งผลระยะยาวเช่นเดียวกัน การนอนดึก ดื่มเหล้า ดื่มคาเฟอีน และสูบบุหรี่ คือสาเหตุที่ทำให้กระดูกของเราเปราะได้ง่ายขึ้น ซึ่งการดูแลให้กระดูกของเราแข็งแรงนั้นคือการเสริมด้วยวิตามิน D และแคลเซียม การเลือกกินนม ถั่ว เต้าหู้ ปลาซาร์ดีน หรือปลาแซลมอน ก็เป็นอีกตัวเลือกที่ทำให้ร่างกายของเราได้รับแคลเซียมและมีสุขภาพที่แข็งแรงได้

8. เรียกคืนพลังสมอง ด้วยโอเมก้า 3

ใครที่เป็นสายเวิร์คอะโฮลิกทุกวินาทีคือการทำงาน แบบนี้การหาเวลาพักผ่อนคงทำได้ไม่ง่ายนัก เมื่อรักในการทำงานก็หมายถึงการต้องใช้พลังสมองอย่างมหาศาล และต้องมีกระบวรการคิดที่สดใหม่ตลอดเวลา การเสริมวิตามินบำรุงร่างกายด้วยโอเมก้า 3 อาจช่วยให้สนุกกับการทำงานได้มากยิ่งขึ้น เพราะสิ่งนี้จะช่วยฟื้นฟูระบบประสาท ช่วยลดความเมื่อยล้า และยังสามารถลดอาการอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย ซึ่งปกติแล้วจะพบโอเมก้า 3 ได้จากอาหารทะเล หรือน้ำมันปลาที่สกัดมาจากแหล่งธรรมชาติ

9. ความจำดี เรียนรู้ไว ด้วยโพแทสเซียม

งานล้นจนทำแทบไม่ทัน บางครั้งต้องโอทียาวอดหลับอดนอน ช่วงนี้หลงๆ ลืมๆ รู้สึกสมองช้า อาการเหล่านี้อาจกำลังบอกว่าร่างกายขาดโพแทสเซียม เมื่อออกซิเจนไปเลี้ยงที่สมองมีไม่เพียงพอจะทำให้ความสามารถในการจดจำลดลง ตามมาด้วยความเสี่ยงเป็นโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น ความดันโลหิตที่สูง และโรคหัวใจ การเสริมโพแทสเซียมให้ร่างกายคือการเลือกกินผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันต่ำ ธัญพืช ถั่ว ผงโกโก้ ลูกพรุน ลูกเกด สมองจะกลับมามีประสิทธิภาพเหมือนเดิมเพียงเราเลือกอาหารที่ดีต่อร่างกาย

10. บำรุงระบบประสาท และกระบวนการทำงานของร่างกาย ด้วยซิงค์

เมื่อรู้สึกว่าร่างกายเริ่มอ่อนเพลีย ไม่อยากอาหาร ภูมิคุ้มกันตกจนทำให้ป่วยง่าย ซิงค์อาจเป็นสิ่งจำเป็นที่ตอบโจทย์และควรเสริมเพื่อบำรุงร่างกาย ซิงค์หรือธาตุสังกะสีมีส่วนสำคัญในการช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยป้องกันเชื้อไวรัส ช่วยบำรุงในส่วนของเล็บและเส้นผม นอกจากนี้แล้วยังทำหน้าที่ควบคุมระบบประสาทและกระบวนการทำงานในร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เรียกได้ว่าซิงค์มีความจำเป็นต่อร่างกายของเรามากๆ

เมื่อร่างกายเริ่มอ่อนแอความป่วยไข้ก็จะเป็นสิ่งที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิตามินและแร่ธาติทั้ง 10 อย่างสามารถทำให้ร่างกายของเรากลับมาทำงานได้ก็จริง แต่จะดีเป็นพิเศษถ้าเราเลือกที่จะดูแลสุขภาพด้วยการเลือกกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเสริมด้วยวิตามินบํารุงร่างกาย นอกจากนี้แล้วควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ แบบนี้น่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้องและยั่งยืนที่สุด เพราะการพักผ่อนน้อยอาจส่งผลเสียในระยะยาวโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัวและไม่ทันคาดคิด

ทำความรู้จัก ซินไบโอติก เพื่อนสนิทคนถ่ายยาก

สาระความรู้สำหรับคนถ่ายยาก ชวนมาทำความรู้จักซินไบโอติกที่หลายๆ คนยังไม่คุ้นกับชื่อนี้นัก เมื่อไม่นานมานี้กระแสของโพรไบโอติกและพรีไบโอติกได้รับความนิยมจากเหล่าคนที่รักสุขภาพเป็นอย่างมาก ไม่ว่าใครก็ต้องรู้จักและเคยได้ยินสรรพคุณของโพรไบโอติกและพรีไบโอติกกันทั้งนั้น และคราวนี้คงต้องเพิ่มซินไบโอติกเข้าไปในสารระบบที่ว่าด้วยแล้ว เพราะน้องใหม่อย่างซินไบโอติกกำลังจะมีบทบาทสำคัญและเป็นนวัตกรรมที่พัฒนาไปอีกขั้นเมื่อพูดถึงโพรไบโอติกและพรีไบโอติก

ซินไบโอติก คืออะไร

ซินไบโอติก คือการนำโพรไบโอติกที่เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีต่อร่างกาย ช่วยปรับสมดุลในลำไส้และพรีไบโอติกที่ถูกย่อยสลายโดยโพรไบโอติกหรือเป็นอาหารของโพรไบโอติก มาผสานเข้าด้วยกัน จึงทำให้โพรไบโอติกสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้นใครที่อยากรับซินไบโอติกเข้าสู่ร่างกายต้องสังเกตให้ดีว่าซินไบโอติกที่เราเลือกจะต้องประกอบไปด้วยโพรไบโอติกและพรีไบโอติกจริงๆ

ความสำคัญของ ซินไบโอติก

เราจำเป็นต้องรักษาสมดุลของลำไส้เพราะถ้าเสียสมดุลแล้วสิ่งที่ตามมาอาจส่งผลเสียต่อร่างกาย อาการที่พบอาจเล็กน้อยเพียงท้องอืด หรือไปจนถึงท้องผูก ภูมิต้านทานของร่างกายต่ำลง และมีแนวโน้มร้ายแรงถึงขั้นลำไส้เกิดภาวะติดเชื้อได้ แต่หากเราได้รับซินไบโอติกที่ประกอบไปด้วยคู่หูโพรไบโอติกและพรีไบโอติกแล้ว ลำไส้ของเราก็จะแข็งแรงและสมดุลยิ่งขึ้น

ประโยชน์ของ ซินไบโอติก

ประโยชน์ของซินไบโอติกหลักๆ เลยคือช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ทั้งดีและไม่ดีในระบบทางเดินอาหาร ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหารให้กับร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ ช่วยลดความเสี่ยงภาวะติดเชื้อจากเชื้อโรคต่างๆ ในลำไส้ ระบบขับถ่ายคล่องขึ้น และร่างกายแข็งแรงเพราะมีภูมิคุ้มกันที่ดี

ซินไบโอติก เหมาะสำหรับใคร

ซินไบโอติกเป็นตัวเลือกที่ตอบสนองได้ตรงจุดสำหรับผู้ที่อยากดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะมีปัญหาเรื่องการขับถ่าย เป็นคนป่วยง่ายที่ต้องการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย หรือคนที่กำลังมีเป้าหมายในการลดน้ำหนัก

การเลือกบริโภค ซินไบโอติก

ผลิตภัณฑ์ที่สามารถเลือกบริโภคได้หลากหลายวิธีจะช่วยเพิ่มความสนุกต่อการรับประทานสิ่งนั้นๆ ได้มากขึ้นและไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ตัวอย่างไอเดียให้ทำให้การทานซินไบโอติกมีอรรถรสมากขึ้น เช่น ทานคู่กับกราโนล่า น้ำผลไม้ หรือโยเกิร์ต ก็จะทำให้มื้อของซินไบโอติกอร่อยมากขึ้น 

ซินไบโอติกเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย เพราะเหมือนเป็นการรวมพลังกันของคู่หูโพรไบโอติกและพรีไบโอติกเข้าไว้ด้วยกัน แต่ก็มีข้อควรระวังในการใช้ สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มคนที่มีภาวะภูมิต้านทานต่ำมากๆ ผู้สูงอายุ หรือหญิงตั้งครรภ์ แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนบริโภคซินไบโอติกสู่ร่างกาย

เพิ่มความปังให้ลูก 5 ข้อดี ที่คุณแม่ควรเสริมวิตามินสำหรับเด็ก

เรื่องสำคัญที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม การดูแลลูกๆ คืออาหารตามหลักโภชนาการสำหรับลูกๆ เพื่อได้เติบโตอย่างแข็งแรงสมวัย ไม่เพียงร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงพัฒนาการสมองและการมีไหวพริบที่ดีเลิศ วัยเด็กมักเป็นวัยที่ซุกซนมีการขยับเคลื่อนไหวร่างกายตลอดเวลา คุณพ่อคุณแม่จึงต้องเตรียมพร้อมทั้งร่างกายและจิตให้ลูกๆ มีพลังงานพร้อมลุยในทุกๆ ด้าน โดยหลักๆ แล้วเด็กควรได้ประทานอาหารครบ 5 หมู่ และพักผ่อนอย่างเพียงพอ นอกจากเรื่องโภชนาการแล้วก็ควรได้รับวิตามินเด็กเสริมเช่นกันเนื่องจากอาหารที่รับประทานสารอาหารอาจไม่เพียงพอ และร่างกายก็ไม่สามารถสร้างวิตามินได้ด้วยตนเอง จึงต้องมีตัวช่วยอย่างวิตามินเด็กเสริมไว้ สำหรับ วิตามิน เด็ก เป็นเรื่องสำคัญกว่าที่คิด และนี่คือ 5 ข้อดี วิตามิน เด็ก ที่จะทำให้คุณพ่อคุณแม่เปลี่ยนใจแล้วเสริมความปังให้ลูกด่วนเลย

วิตามิน เด็ก 5 ข้อดี สำหรับคุณลูก

1. กระตุ้นภูมิคุ้มกัน

วิตามินเด็ก ที่มีส่วนช่วยในเรื่องกระตุ้นภูมิคุ้มกันสำหรับเด็กนั้นสำคัญมาก ร่างกายที่แข็งแรงจะต้องมีระบบภูมิกันที่มีประสิทธิภาพไปพร้อมๆ กัน จะเห็นได้ว่าเด็กที่เป็นหวัดบ่อยๆ แพทย์มักแนะนำให้เสริมด้วยวิตามิน C ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และชะลอความเสื่อมของเซลล์ นอกจากนั้นแล้ววิตามิน A ก็เป็นอีกหนึ่งวิตามินที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะวิตามิน A นั้นมีส่วนช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจรวมไปถึงระบบทางเดินอาหาร และยังช่วยให้ผิวสวยอีกด้วย

2. ส่งเสริมพัฒนาการ และการเรียนรู้

เด็กจะมีการแบ่งพัฒนาการออกเป็น 4 ด้านด้วยกันคือ พัฒนาการด้านกล้ามเนื้อ พัฒนาการด้านการสื่อสาร พัฒนาการทางด้านการเข้าสังคม และพัฒนาการด้านการช่วยเหลือตัวเอง หากร่างกายขาดวิตามินหรือแร่ธาตุบางประเภทไปอาจทำให้พัฒนาการไม่เป็นไปตามวัย ธาตุเหล็กเป็นแร่ธาตุที่มีส่วนสำคัญช่วยให้ออกซิเจนจากปอดสามารถไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของสมองและร่างกายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง นอกจากนั้นแล้วยังช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งธาตุเหล็กมักพบในอาหารประเภทธัญพืชต่างๆ เนื้อแดง และผักผลไม้

3. เสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูกและฟัน

เพื่อให้ลูกๆ ได้เติบโตตามวัย มีส่วนสูงตามเกณฑ์ และป้องกันโรคกระดูกพรุนเมื่ออายุมากขึ้น คุณแม่ควรให้เด็กๆ ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ และเสริมวิตามินเด็ก สร้างความแข็งแรงให้กระดูกและฟันด้วยแคลเซียมอยู่เสมอ ส่วนใหญ่แล้วมักพบได้ในถั่ว ปลาตัวเล็ก ผัก และนม ในอีกด้านหนึ่งเพื่อให้ร่างกายได้รับแคลเซียมอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น วิตามิน D ก็มีประโยชน์อย่างมากต่อการช่วยเสริมการใช้แคลเซียม เมื่อได้รับวิตามินจนเพียงพอต่อร่างกายแล้วจะซนแค่ไหนคุณแม่ก็หายห่วง

4. ป้องกันระบบประสาทจากความเสียหาย

ระบบประสาทนับว่าเป็นระบบที่สำคัญต่อร่างกายอย่างมาก มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ทั้งประมวลข้อมูลและป้อนคำสั่งเพื่อให้อวัยวะตอบสนอง ระบบประสาทจึงเป็นส่วนที่ต้องดูแลเอาใจใส่อยู่เสมอ วิตามินเสริมเด็ก มีส่วนช่วยป้องกันระบบประสาทจากความเสียหาย หรือเสื่อมสภาพคือวิตามิน B1 ที่ทำหน้าที่กระตุ้นการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ให้กลายเป็นพลังงาน และเสริมสร้างให้ร่างกายเจริญเติบโต หากขาดวิตามินชนิดนี้ไปนอกจากจะมีผลกับระบบประสาทแล้วยังส่งผลให้เกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย

5. บำรุงสมอง ส่งเสริมไหวพริบ

เมื่อเด็กๆ มีสุขภาพที่แข็งแรงแล้วการส่งเสริมให้ลูกๆ มีไหวพริบที่ดีก็เป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสนใจ การมีพัฒนาการที่ดีนั้นสำคัญต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง ตับ และระบบประสาท รวมไปถึงการมองเห็น ซึ่งโอเมก้า 3 คือสารอาหารที่ช่วยส่งเสริมสิ่งต่างๆ เหล่านี้ โอเมก้า 3 นั้นเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องรับประทานอาหารเท่านั้น ส่วนแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ก็หาได้จากปลาทะเลน้ำลึก ปลาน้ำจืด และน้ำมันปลาที่สกัดน้ำมันออกจากปลาแล้ว เมื่อมีระบบประสาทและสมองที่ดีแล้วเด็กๆ ก็จะสามารถเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์

เด็กๆ จำเป็นต้องรับประทานอาหารที่หลากหลายและครบทั้ง 5 หมู่ ซึ่งวิตามิน เด็ก ต่างๆ ก็จะอยู่ในมื้ออาหารที่ได้รับประทานในทุกมื้อ แต่ถ้าหากคุณแม่อยากเสริมวิตามินเด็ก แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและให้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น นอกจากดูแลเรื่องอาหารและเสริมวิตามิแล้วคุณแม่ควรชวนลูกๆ ไปออกกำลังกายเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กมีน้ำหนักตัวมากจนเกินไป เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากโรคที่ตามมาเพราะน้ำหนักเกินเกณฑ์

ระบบขับถ่ายไม่ดี ท้องผูกแก้อย่างไร 5 วิธี ทำตามเลย ขับถ่ายดีต่อใจ

อาการท้องผูกที่ใครหลายคนอาจมองข้าม อันที่จริงแล้วหากปล่อยให้ท้องผูกติดต่อกันเป็นเวลานานอาจส่งผลให้เป็นท้องผูกเรื้อรังได้ หลายคนเข้าใจว่าท้องผูกมักเกิดกับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ความจริงแล้วส่วนมากท้องผูกมักพบได้ในทุกช่วงวัย ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงาน และจะเจอในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เพราะไลฟ์สไตลล์ที่เร่งรีบของคนเมืองทำให้หลายคนละเลยเรื่องการดูแลสุขภาพ และการท้องผูกแก้อย่างไร  5 วิธี ทำตามเลย ขับถ่ายดีต่อใจ ทำตามวิธีนี้รับรองเลยว่าทำง่าย และทำได้จริง

5 วิธี แก้ท้องผูก ขับถ่ายง่าย

1. รับประทานอาหารเช้า

แก้ท้องผูก สิ่งแรกคือต้องปรับพฤติกรรม เริ่มต้นด้วยการกินอาหารเช้า ซึ่งเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด นอกจากจะเป็นเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองและระบบความจำแล้ว เมื่อร่างกายได้รับอาหารหลังจากตื่นนอนจะเป็นการกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่และกระเพาะอาหารบีบตัวจนทำให้รู้สึกอยากขับถ่ายอีกด้วย

2. รับประทานผักและผลไม้ 

อาหารประเภทผัก ผลไม้ ธัญพืช จะมีกากใยและไฟเบอร์สูง เช่น  ถั่ว ข้าวกล้อง บลอกโคลี  มะละกอ แอปเปิ้ล หรือกีวี ปริมาณที่ร่างกายควรได้รับใยอาหารจะอยู่ที่ 20-35 กรัมต่อวัน และจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากรับประทานพร้อมกากที่ไม่คั้นน้ำ เพราะกากใยจะต้านทานการย่อยของน้ำย่อยที่จะไปดูดซึมน้ำภายในลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้ลำไส้บีบตัว การรับประทานผักและผลไม้ จึงเป็นวิธีแก้ท้องผูกอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น

3. ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ 

ร่างกายของเราประกอบไปด้วยน้ำถึง 60–70 เปอร์เซ็นต์ การดื่มน้ำให้พอดีไม่มากและไม่น้อยไปจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย โดยปกติแล้วเราควรดื่มน้ำ 1.5–2 ลิตรต่อวัน และคนที่มีปัญหาท้องผูกขับถ่ายยากควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 3 ลิตรต่อวัน เมื่อเราได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายจะช่วยทำให้อุจจาระที่อยู่ในลำไส้นิ่มและสามารถขับถ่ายออกมาได้สะดวกนั่นเอง

4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 

กีฬาเป็นยาวิเศษ สิ่งนี้ไม่เกินจริง การออกกำลังกายเคลื่อนไหวอวัยวะต่างๆ ทำให้หัวใจสูบฉีดได้ดี อีกทั้งลำไส้ได้ขยับ หด และคลายตัวไปด้วย ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายได้ดี ทำให้กากอาหารที่ค้างอยู่ในลำไส้ถูกขับออกมาได้ง่ายขึ้น เพียงเดินหรือวิ่ง 20-30 นาที หรือจะออกกำลังกายที่มีการบิดและพับช่วงเอวซ้ำๆ หลายครั้งปัญหาของผู้ที่มีอาการท้องผูกขับถ่ายยากก็จะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน

5. รับประทานอาหารที่มีโพรไบโอติก

โพรไบโอติกคือจุลินทรีย์ชนิดดีที่พบได้ตามธรรมชาติในลำไส้ หากมีในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยให้ลำไส้แข็งแรง และช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งจะช่วยแก้ท้องผูก บรรเทาอาการท้องเสีย และป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย ส่วนอาหารที่มีโพรไบโอติกส์นั้นก็หาทานได้ง่าย จุลินทรีย์ดีที่ร่างกายต้องการนั้นมักจะอยู่ใน โยเกิร์ต นมเปรี้ยว กิมจิ และผักหมักดองต่างๆ ของอร่อยทั้งนั้นแถมมีประโยชน์ด้วย

สำหรับใครที่กำลังมีอาการท้องผูกมองกาทางแก้เบื้องต้นก็สามารถทำตามที่เราแนะนำไว้ข้างต้นได้เลย หรือยังไม่มั่นใจว่าท้องผูกที่ว่ามีอาการประมาณไหน อาการคร่าวๆ ของท้องผูกเลยคือเริ่มมีอุจจาระแข็ง ใช้เวลาเบ่งถ่ายนาน ความถี่ในการขับถ่ายลดลง หรือรู้สึกขับถ่ายไม่สุด เมื่อสังเกตว่ามีอาการเหล่านี้แนะนำให้ลอง 5 วิธีแก้ท้องผูกที่ว่าได้เลย เพราะเป็นวิธีที่ออแกนิคและปลอดภัยสุดๆ แถมทำได้ง่ายมากๆ

 

เราใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของคุณและเก็บข้อมูล
เพื่อประสิทธิภาพของเว็บไซต์ คุณสามารถตั้งค่าความยินยอม
การใช้คุกกี้ได้โดยคลิกที่ การตั้งค่าคุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    Cookies Details

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    Cookies Details

บันทึก