รวม 10 อาหารมีวิตามินเสริมภูมิคุ้มกัน ต้านโควิดได้

ในช่วงเวลาที่สถานการณ์โควิด 19 คลี่คลายความรุนแรงลงไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังคงพบผู้ติดเชื้ออยู่เรื่อยๆ แม้การพบผู้มีอาการรุนแรงจะน้อยลงกว่าช่วงแรกไปมาก นั่นเป็นผลพวงจากการที่ทุกคนได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพ เรียกได้ว่าเป็นเกราะป้องกันเชื้อไวรัสโควิด 19 วิธีหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรเราก็ควรเตรียมความพร้อมขั้นแรกที่ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นตัวเราเอง สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงเป็นอันดับแรกจะทำให้เราต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้อย่างมั่นใจ และมีประสิทธิภาพ เริ่มต้นง่ายๆ จากการคัดสรรอาหารที่มีประโยชน์ หรือหาตัวช่วยอย่างวิตามินเสริมภูมิคุ้มกัน เพียงเท่านี้การใช้ชีวิตแบบนิวนอร์มอลของเราก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายและสนุกขึ้น ว่าแต่การดูแลสุขภาพและเลือกอาหารแบบไหนถึงจะทำให้ร่างกายของเรามีภูมิคุ้มกัน งั้นตามมาทางนี้เลยแล้วมาดูกันว่ามีอะไรน่าสนใจและน่านำไอเดียไปครีเอทต่อยอดบ้าง

10 อาหารมีวิตามินเสริมภูมิคุ้มกัน ต้านโควิด

1. ผลไม้รสเปรี้ยว ดี มีประโยชน์

ผลไม้รสเปรี้ยวนั้นอุดมไปด้วยวิตามิน C ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเซลล์จากความเสียหาย ที่สำคัญช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง และมีส่วนช่วยบรรเทาอาการสำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้ วิตามิน C นั้นจะแฝงอยู่ในผักผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวต่างๆ เช่น ส้ม มะขามป้อม แอปเปิ้ลเขียว หรือกีวี เรียกได้ว่าหาได้ไม่ยากและเจอได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ต แต่สำหรับใครที่ไม่ชอบและไม่ถูกกับของเปรี้ยวเอาซะเลย แนะนำไอเดียง่ายๆ ให้เลือกทานผลไม้เหล่านี้ควบคู่กับผลไม้ที่ชอบ วิธีนี้จะช่วยทำให้การทานของยากๆ เป็นไปได้และเพลิดเพลินมากขึ้น

2. ตระกูลเบอร์รี่ เปรี้ยวอมหวาน จัดเต็มความสดชื่น

เราจะเห็นในโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่างๆ บ่อยครั้งว่าเหล่าคนที่รักสุขภาพมักจะทานผลไม้ตระกูลเบอร์รี่กันเป็นประจำ ส่วนเบอร์รี่ยอดฮิตที่คนนิยมทานก็เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยกันดีไม่ว่าจะเป็นบลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ และแบล็คเบอร์รี่นั่นเอง ทำไมการทานเบอร์รี่ถึงเป็นที่นิยม ก็เพราะเบอร์รี่ต่างๆ มีสารอาหารหลายชนิดและยังให้แคลอรี่ต่ำ อุดมไปด้วยวิตามินซีและแร่ธาตุ มีไฟเบอร์สูง มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงไม่ป่วยง่าย หากได้รับอาหารเช้าเป็นเบอร์รี่รสเปรี้ยมอมหวานกับโยเกิร์ต และขนมปังโฮลเกรน วันนั้นคงจะสดชื่นและเฮลตี้สุดๆ

3. อาหารสุขภาพจากธัญพืช

หากพูดถึงอาหารที่ให้พลังงานและอัดแน่นไปด้วยคุณประโยชน์แล้วล่ะก็ จะเป็นอะไรไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เหล่าธัญพืชนานาชนิด เพราะธัญพืชนั้นเต็มไปด้วยสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต มีวิตามิน และแร่ธาตุสำคัญอย่างสังกะสีหรือซิงค์ที่มีส่วนสำคัญในการช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยซ่อมแซมบาดแผล และช่วยป้องกันเชื้อไวรัส หลักๆ ในการเลือกอาหารสุขภาพคือควรเลือกข้าวกล้องแทนข้าวขาว เน้นทานเนื้อสัตว์หรือปลาทะเล และเสริมด้วยเมล็ดธัญพืช เช่น ถั่วต่างๆ ข้าวโอ๊ต ควินัว หรือขนมปังโฮลเกรน ในส่วนของเมนูน่าอร่อยแนะนำเป็นสมูทตี้โอ๊ตโบวล์โรยด้วยผลไม้ หรือขยับมาเป็นเมนูอาหารคาวอย่างอกไก่อบธัญพืชก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เรียกได้ว่าคลีนๆ ดีต่อสุขภาพ

4. เสริมสร้างกล้ามเนื้อและเซลล์ด้วยอาหารที่มีโปรตีน

โปรตีนเป็นสารอาหารที่ร่างกายของเราต้องการและขาดไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและป้องกันการสูญเสียเซลล์ต่างๆ นอกจากนี้โปรตีนยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การเลือกอาหารที่มีโปรตีนสูงจะทำให้เราอิ่มนาน หิวช้าลง และเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้มากขึ้น ในอีกทางหนึ่งการเลือกทานอาหารที่มีโปรตีนสูงก็เป็นหนึ่งในทริคเล็กๆ สำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก ซึ่งเราสามารถหาโปรตีนได้จากทั้งเนื้อสัตว์และพืช มื้อเย็นนี้หากคิดอะไรไม่ออกลองเป็นสเต็กปลาแซลมอน กับสลัดผักเพิ่มถั่วชิกพี เป็นเมนูที่ได้ทั้งไขมันดี มีโปรตีนสูง มื้อนี้ได้สารอาหารครบถ้วน

5. อาหารที่มีวิตามิน A ช่วยให้สายตาดี และเสริมสร้างภูมิต้านทาน

วิตามิน A เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการไม่แพ้วิตามินอื่นๆ ใครที่กำลังมองหาตัวช่วยในการเสริมภูมิต้านทานพร้อมบำรุงสายตาไปด้วย การเสริมวิตามิน A ให้ร่างกายก็ตอบโจทย์ เพราะสรรพคุณของวิตามินชนิดนี้จะช่วยป้องกันโรคทางสายตาต่างๆ และมีอีกหน้าที่สำคัญคือเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และช่วยปกป้องเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสจากภายนอกได้เป็นอย่างดี อาหารที่มีวิตามิน A สูงมักพบได้ทั้งในเนื้อสัตว์และพืช เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า เครื่องในสัตว์ แครอท คะน้า บลอกโคลี และนม

6. เสริมวิตามิน D ช่วยให้ห่างไกลโรคได้

หลายคนมักเข้าใจว่าเราจะได้รับวิตามิน D ก็ต่อเมื่อออกไปรับแสงแดดในยามเช้าเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องจริงเพียงส่วนหนึ่ง อันที่จริงแล้วเราสามารถหาวิตามิน D ได้จากพืชและเนื้อสัตว์เหมือนกับวิตามินอื่นๆ เช่นกัน หน้าที่หลักของวิตามินชนิดนี้คือช่วยดูดซึมแคลเซียม ทำให้กระดูกฟันและฟันแข็งแรง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานรวมไปถึงโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและกำจัดเชื้อไวรัสต่างๆ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องให้ความสำคัญและไม่ให้ร่างกายขาดวิตามิน D ซึ่งเราสามารถหาสารอาหารที่มีวิตามิน D ได้จากปลาที่มีไขมันสูง นมถั่วเหลือง เห็ด ธัญพืช และน้ำมันตับปลา

7. สรรพคุณของเห็ด ที่วงการแพทย์รับรอง

เรื่องไม่ลับที่หลายคนยังไม่รู้ เห็ดมีคุณค่าทางสารอาหารมากกว่าที่คิด ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการเสริมภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะ มีงานวิจัยที่คิดค้นการรักษาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันระบุไว้ว่าการมีภูมิคุ้มกันที่ดีคือเกราะป้องกันแรกที่ควรสร้างและต้องรักษาไว้ เพราะโอกาสป่วยจะลดลงไปมาก และสิ่งที่ช่วยสร้างภูมิต้านทานนั้นคือสารสกัดเบต้ากลูแคนที่ได้จากเห็ดนั่นเอง ซึ่งจะพบได้ในเห็ดบางชนิด เช่น เห็ดไมตาเกะ เห็ดหลินจือ เห็ดซิตาเกะ เห็ดยามาบูซิตาเกะ เห็ดแชมปิยอง เป็นต้น ด้วยคุณประโยชน์ที่ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยปรับสมดุลของเม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย ทำให้เห็ดเหล่านั้นถูกขนานนามว่าเป็นเห็ดทางการแพทย์เลยทีเดียว

8. อาหารที่เติมจุลินทรีย์ชนิดดี ช่วยสร้างสมดุลให้ลำไส้

หากอยากมีสุขภาพที่แข็งแรงต้องเริ่มจากภายใน ลำไส้ของเรานั้นมีส่วนสำคัญอย่างมากเพราะต้องรับสารอาหารหลากหลายชนิด ซึ่งในลำไส้จะมีจุลินทรีย์ชนิดดีหรือที่เรารู้จักกันในชื่อโพรไบโอติก มีหน้าที่ย่อยและดูดซึมสารอาหาร ช่วยป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคหรือสิ่งผิดปกติ รวมไปถึงปรับสมดุลภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งเราต้องรับโพรไบโอติกเข้าไปใหม่ในทุกๆ วัน ซึ่งมักพบในกิมจิและผักหมักดองต่างๆ ที่เรานำมาทานเป็นเครื่องเคียงอยู่แล้ว หรือในโยเกิร์ตรสธรรมชาติ นมเปรี้ยว เทมเป้ และคอมบูชา 

9. ฟื้นฟูร่างกายจากสมุนไพรใกล้ตัว 

การรักษาโรคด้วยสมุนไพรนั้นเป็นวิธีที่เราใช้กันมาช้านานตั้งแต่ในอดีต ซึ่งปัจจุบันเมื่อมีโควิด 19 ระบาดครั้งใหญ่เหล่าสมุนไพรที่ลดความนิยมลงไปบ้างก็กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง เพราะด้วยเหตุผลที่หาซื้อได้ง่ายและคนไทยส่วนใหญ่คุ้นชินกับสมุนไพรเป็นอย่างดีอยู่แล้ว การเลือกบำรุงร่างกายด้วยสมุนไพรจึงเป็นวิธีแรกๆ ที่คนไม่มากก็น้อยมักเลือกทานสมุนไพรกัน ด้วยสรรพคุณที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยลดการแบ่งตัวไวรัสภายในเซลล์ และสามารถลดการอักเสบที่ปอดจากการติดเชื้อได้ สมุนไพรจำพวก ฟ้าทะลายโจร ขิง มะขามป้อม ขมิ้นชัน กระเทียม และอื่นๆ จึงเป็นที่ต้องการอย่างมากไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ต้องการเพื่อป้องกันไวรัสรวมไปถึงผู้ที่เคยติดเชื้อแต่มีอาการลองโควิดก็ตาม

10. มัทฉะเข้มข้น ทางเลือกเทรนด์ใหม่ของสายเฮลตี้

เทรนด์ใหม่กำลังมาแรงและมีการพูดถึงมากช่วงนี้คือการเลือกเครื่องดื่มที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกาย นั่นคือมัทฉะที่คนไทยและชาวเอเชียคุ้นชิน มีบทความที่เขียนโดยแพทย์ชาวอเมริกันกล่าวไว้ว่า มัทฉะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยยับยั้งตัวทำลายเซลล์ มีส่วนช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง สิ่งหนึ่งที่หลายๆ คนอาจยังไม่รู้ว่ามัทฉะกับชาเขียวนั้นแตกต่างกัน ซึ่งรสชาติของมัทฉะจะมีความเข้มข้นและมีสารอาหารมากกว่าชาเขียวทั่วไป 5-10 เท่า นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเทรนด์การดื่มมัทฉะร้อนทุกวันถึงเป็นที่นิยม

เมื่อสุขภาพดีเราก็จะมีความพร้อมในการใช้ชีวิตมากขึ้น ใครที่รับประทานอาหารตามใน 10 ข้อนี้อยู่แล้ว นั่นเป็นการบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าคุณเป็นคนที่รักและดูแลสุขภาพดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ส่วนใครที่รู้สึกว่ายังไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องอาหารเท่าที่ควรแต่มีความตั้งมั่นที่จะสร้างบอดี้ให้เฮลตี้ ก็ลองนำทั้ง 10 อาหารดีๆ มีวิตามินเสริมภูมิคุ้มกันเหล่านี้ไปต่อยอดหรือปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความชอบของแต่ละคนได้เลย ทีนี้ไม่ว่าจะโควิดหรืออะไรก็พร้อมสู้

2-fl โอลิโกแซคคาไรด์ในนมแม่ (HMOs) คืออะไร ทำความรู้จักกันไว้ ดีต่อลูกน้อย

หากพูดถึงตัวย่อ HMOs สำหรับคุณแม่ทั้งหลายคงเป็นที่รู้จักกันดี แต่ถ้าสำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า HMOs คืออะไร บทความนี้จะมาเล่าให้ฟัง โดย HMOs นั้นย่อมาจาก Human Milk Oligosaccharides หรือก็คือโอลิโกแซกคาไรด์ในน้ำนมแม่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นพรีไบโอติก หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คืออาหารของจุลินทรีย์ชีวภาพ ที่ช่วยเสริมภูมิต้านทานให้กับเด็กเป็นอย่างดี เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา เพื่อช่วยเสริมทั้งในเรื่องของพัฒนาการทางสมอง ทำให้ร่างกายแข็งแรงมีภูมิ และที่สำคัญคือเป็นแหล่งอาหารชั้นเลิศของเด็กทารก เพราะฉะนั้นนมแม่จึงถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างมาก อีกทั้งการดื่มน้ำนมแม่นั้นสามารถดื่มได้ตั้งแต่แรกเกิด ไปจนถึงเด็กที่มีอายุ 2 ปี ก็ยังสามารถดื่มน้ำนมแม่ได้อยู่ ถึงแม้ว่าเด็กจะรับประทานอาหารอย่างอื่นได้แล้วก็ตาม เพราะน้ำนมแม่นั้นมีสารอาหาร และมีประโยชน์มากที่สุดอย่างหนึ่ง ซึ่งสำหรับรายละเอียดของ HMOs เพิ่มเติมนั้นจะมีอะไรบ้าง รวมถึงข้อมูลเจาะลึกว่าทำไมเด็กต้องกินนมแม่ เราได้รวบรวมเอามาให้แล้วดังนี้ 

2′-FL คืออะไร ?

2’-FL ถ้าให้อธิบายก็คือ 2′- ฟูโคซิลแลคโตส เป็นโครงสร้างอย่างหนึ่งของ HMOs ที่สามารถจำแนกออกมาได้มากกว่า 200 โครงสร้าง มีส่วนสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กแรกเกิด อย่างที่กล่าวไว้ว่า น้ำนมแม่เปรียบเสมือนเป็นวัคซีนแรกนั้นก็คงไม่ผิดนัก โดยหลักการทำงานของ 2′-FL ทำหน้าที่เป็นพรีไบโอติก ที่มีส่วนช่วยระบบทางเดินอาหาร ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่จะทำให้เกิดโรค เสริมสร้างภูมิต้านทานได้ดีให้กับเด็กแรกเกิด หรือเด็กเล็กที่ยังคงดื่มน้ำนมแม่อยู่ ซึ่งสารอาหารนี้จะพบได้มากถึง 80% ในน้ำนมมแม่เท่านั้น

น้ำนมแม่ นั้นประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ?

ภายในน้ำนมแม่ทั้งหมด 100 มิลิลิตรนั้นประกอบไปด้วยสารอาหารมากมายหลายอย่างด้วยกัน อย่างแรกเลยก็คือ แลกโตส ตามมาด้วยไขมัน โปรตีน จุลินทรีย์สุขภาพ หรือโพรไบโอติกอย่างอื่น และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ โอลิแซกคาไรด์ในนมแม่ (HMOs) ประโยชน์มากมาย ที่นอกจากจะช่วยให้เด็กอิ่มท้อง ยังมอบสารอาหาร และช่วยปกป้องระบบทางเดินอาหาร รวมถึงการเสริมภูมิคุ้มกันให้กับเด็ก 

HMOs พบมากสุดในช่วงไหนของระยะน้ำนม ?

จากการวิจัยพบว่าโอลิโกแซกคาไรด์ในน้ำนมแม่ (HMOs) จะถูกพบมากที่สุดในช่วงในช่วงน้ำนมเหลือง เป็นระยะน้ำนมหลังคลอดประมาณ 3-5 วันหลังจากคลอดลูกแล้ว เป็นน้ำนมที่อุมดมไปด้วยสารอาหาร และโปรตีนเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับ HMOs ก็ถูกพบมากในช่วงนี้เช่นเดียวกัน ดังนั้นน้ำนมแม่จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างขาดมิได้ สำหรับเด็กแรกเกิดนี้ 

น้ำนมแม่มีกี่ระยะ ?

น้ำนมแม่ถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 ระยะด้วยกัน ได้แก่ 

  • ระยะที่ 1 (Colostrum) เป็นน้ำนมระยะเริ่มแรกของผู้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตร น้ำนมจะมีสีเหลือง หรือที่เรียกกันว่าระยะน้ำนมเหลือง จะเป็นระยะที่น้ำนมมีสารอาหารมากที่สุด อย่างที่กล่าวไปว่าระยะนี้จะมี HMOs อยู่ในปริมาณที่สูงมากเช่นเดียวกัน 
  • ระยะที่ 2 (Transitional Milk) หลังจากที่ผ่านพ้นช่วง 5 วัน ไปจนถึงสัปดาห์ที่ 2 ไปแล้วน้ำนมจะเริ่มกลับมามีสีขาวขุ่น เป็นสีของน้ำนมปกติที่เห็นได้ทั่วไป 
  • ระยะที่ 3 (Mature Milk) เมื่อผ่านพ้นไปสักระยะ น้ำนมของแม่จะเริ่มมีปริมาณที่มากขึ้น หลายคนจะเริ่มปั้มนมเพื่อเก็บเอาไว้ให้ลูกน้อยได้ดื่ม รวมถึงสารอาหารหลักของเด็กก็จะออกมากับน้ำนมในช่วงระยะที่ 3 นี้ด้วย

ประโยชน์ของ HMOs แบบเจาะลึกมีอะไรบ้าง ?

นอกจากการเสริมภูมิต้านทานที่เป็นหน้าที่หลักของ HMOs แล้วนั้น โอลิแซกคาไรด์ในน้ำนมแม่ ก็ยังมีคุณประโยชน์หลายอย่างด้วยกัน ได้แก่ 

  • ลดความเสี่ยงที่ลูกจะเจ็บป่วยเป็นโรคต่างๆ หนึ่งในประโยชน์ของ HMOs อย่างแรกเลยก็คือช่วยลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยของเด็กให้น้อยลง เพราะจะช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิต้านทาน ในเด็กที่เพิ่งคลอดการดื่มน้ำนมแม่ก็จะช่วยได้ เหมือนกับเป็นวัคซีนให้กับเด็กที่มาจากธรรมชาติ 
  • ป้องกันการติดเชื้อของลำไส้ เพราะทั้ง HMOs และ 2’-FL เป็นอาหารของจุลินทรีย์สุขภาพในลำไส้อยู่แล้ว ดังนั้นจุลินทรีย์เหล่านี้จึงช่วยปกป้องการติดเชื้อของลำไส้ได้เป็นอย่างดี 
  • ช่วยป้องกันเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย หรือว่าสิ่งไม่ดีต่างๆ ที่ก่อโรค โดยที่จะมาเกาะบริเวณเยื่อบุผิวของลำไส้ใหญ่ โดย HMOs นั้นมีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกับเยื่อบุผิวลำไส้ใหญ่ ดังนั้นจึงสามารถหลอกล่อให้เชื้อโรคมาเกาะแทน 
  • ป้องกันการท้องเสีย จากการวิจัยพบว่าเด็กที่ดื่มน้ำนมแม่ที่มี 2’-FL ในปริมาณที่มากกว่านั้นลดอาการท้องเสียได้มากกว่าเด็กที่ดื่มน้ำนมแม่ที่ 2’-FL มีปริมาณน้อยกว่า 

นอกเหนือจาก HMOs ที่สำคัญ และเป็นประโยชน์ต่อร่างกายเด็กแล้ว ในน้ำนมแม่ยังมีสารอาหารที่จำเป็นต่อเด็กอีกเพียบเลย อย่างเช่น โปรตีน ไขมัน วิตามินB1, B2, B6 และB12 รวมถึงแร่ธาตุอื่นๆ อีกมากมาย รู้อย่างนี้แล้วมาปั้มน้ำนมเก็บไว้กันเถอะ เพราะถึงแม้เด็กจะเติบโตขึ้นมีอายุเกิน 1 ปีไปแล้ว ก็ยังสามารถรับประทานนมแม่ได้อยู่ มาเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกน้อย พร้อมกับให้ลูกน้อยเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรง และสมวัยด้วยนมแม่กันดีกว่า 

ลูกไม่ค่อยกินข้าว 5 อาหาร เสริม เด็ก ที่ต้องมีติดบ้านไว้

เชื่อว่าหลายครอบครัวกำลังประสบปัญหานี้กันอยู่แน่ๆ กับปัญหาเรื่องที่ว่าลูกไม่ค่อยกินข้าว ทั้งอาการเบื่ออาหาร ไม่รู้สึกอยากกินอะไร หลีกเลี่ยง รวมไปถึงเด็กที่รับประทานอาหารยาก มีหลายเหตุผลมากว่าทำไมลูกของคุณถึงไม่ค่อยรับประทานอาหาร แม้ว่าจะตระเตรียมอาหารที่น่ารับประทาน หรือว่าเป็นอาหารจานโปรดแล้วก็ตาม ซึ่งปัญหานี้เหล่าคุณพ่อคุณแม่มักจะเครียดกันเป็นพิเศษ เพราะสารอาหารต่างๆ นั้นสำคัญมากสำหรับเด็ก โดยเฉพาะเด็กวัยกำลังโต ถ้าหากขาดสารอาหารแล้ว อาจจะทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโตตามวัยเท่าที่ควร และอาจจะส่งผลไปถึงเรื่องอื่นๆ ที่จะตามมาในอนาคต นอกจากวิธีแก้การที่ลูกไม่ค่อยกินข้าว ทั้งการกระตุ้น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินข้าว หรือการปรุงอาหารให้น่ารับประทาน ก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่พอช่วยได้ ก็คืออาหาร เสริม เด็ก ที่ไม่ใช่แค่เด็กที่ไม่ค่อยกินข้าวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเด็กที่มีสุขภาพแข็งแรงดีทั่วไป ก็สามารถกินอาหาร เสริม เด็ก เหล่านี้ได้เช่นเดียวกัน 

อาหาร เสริม เด็ก ต้องมีติดบ้าน

1. Lysine (ไลซีน)

กรดอะมิโนจำเป็นแก่ร่างกายที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้เลย เหมาะกับคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นห่วงเรื่องการที่เด็กไม่ค่อยยอมกินอาหาร เพราะไลซีนนี้จะช่วยเติมสารอาหารให้กับร่างกายได้ดี เพราะถ้าเด็กไม่กินอาหาร ก็จะไม่ได้ไลซีน ที่เป็นส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กโดยตรง ซึ่งสามารถรับประทานอาหาร เสริม เด็กที่มีไลซีนเข้าไปได้ คุณสมบัติแรกของไลซีน คือการช่วยให้เจริญอาหาร กระตุ้นความอยากอาหารมากยิ่งขึ้น อย่างที่สองคือ ช่วยอย่างมากสำหรับการเจริญเติบโตของเด็ก เพราะมีส่วนประกอบของโปรตีน ที่สำคัญต่อร่างกาย ทำให้ดูดซึมแคลเซียมได้มากยิ่งขึ้น และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กๆ ได้ดี 

2. โอเมก้า 3 (Omega-3) 

อาหาร เสริม เด็กยอดฮิตที่ทุกบ้านควรมีติดไว้ ไม่ใช่แค่ปัญหาที่เกิดกับเด็กที่ไม่ค่อยกินข้าว เพราะโอเมก้า 3 ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยเรื่องการบำรุงสมอง กระตุ้นระบบความจำ ทำให้มีสมาธิ และเสริมสร้างเรื่องการเรียนรู้ได้มากยิ่งขึ้น และทำให้ร่างกายเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ มีส่วนประกอบของ DHA ในปริมาณที่สูง แต่ก็ควรระวังเพราะว่าโอเมก้า 3 นั้นสกัดมาจากปลาทะเล หรือปลาทะเลน้ำลึก ดังนั้นเด็กที่แพ้ปลา หรือปลาทะเลควรหลีกเลี่ยง แต่ถ้าบ้านไหนที่เด็กๆ ไม่แพ้ปลา และกำลังมองหาอาหารเสริมอยู่ แนะนำให้ซื้อติดบ้านเอาไว้ได้เลย 

3. Oligo (โอลิโก)

อาจจะไม่คุ้นชื่ออาหาร เสริม เด็ก ตัวนี้มากนัก แต่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับเด็กที่ไม่ค่อยได้รับประทานอาหารที่มีกากใย หรือไฟเบอร์ เพราะโอลิโก คือพรีไบโอติก และใยอาหารจากธรรมชาติ ช่วยได้มากสำหรับการปรับสมดุลลำไส้ หรือช่วยปรับสมดุลให้กับร่างกาย รวมถึงช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายได้ดียิ่งขึ้น เหมาะสำหรับเด็กที่ไม่ค่อยชื่นชอบ หรือไม่ได้รับประทานผัก หรือผลไม้ โอลิโกจะช่วยได้มาก เพราะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในร่างกาย สามารถรับประทานได้ทุกวัน เชื่อว่าผู้ปกครองหลายท่านคงกำลังเป็นกังวล เรื่องการไม่รับประทานผักของเด็กๆ เพราะฉะนั้นโอลิโก จึงช่วยได้อย่างแน่นอน

4. แคลเซียม (Calcium) 

หนึ่งในอาหาร เสริม เด็ก ที่เป็นที่นิยมมากก็คือ “แคลเซียม” ไม่ว่าจะทั้งเด็กเล็ก เด็กที่กำลังเจริญวัย หรือผู้ใหญ่เองก็ตามล้วนแต่ต้องการแคลเซียมทั้งนั้น ซึ่งถึงแม้ว่าแคลเซียมจะสามารถได้จากการดื่มนม แต่ก็มีเด็กหลายคนที่ไม่ชอบดื่มนม หรือไม่ค่อยรับประทานอาหาร โดยแคลเซียมนั้นจะช่วยทำให้กระดูก และฟันแข็งแรง พร้อมกับช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตได้เต็มที่ ซึ่งเด็กในแต่ละวัยก็จะต้องการแคลเซียมที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่น เด็กวัย 1-3 ปี ต้องการแคลเซียม 700 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเด็กวัย 4-8 ปี ต้องการแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นต้น ถ้าหากเด็กที่กินอาหารที่มีแคลเซียมในปริมาณที่ไม่เพียงพอ ให้กินอาหาร เสริม เด็กแคลเซียมเสริมเข้าไป

5. วิตามินบี (Vitamin B) 

เพราะวิตามินบี ก็เป็นอีกหนึ่งอาหาร เสริม เด็กที่มีส่วนช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง และเสริมสร้างการเติบโตของร่างกาย รวมถึงการมีพัฒนาการอย่างสมวัย และยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในแง่ของระบบหัวใจหลอดเลือด และระบบประสาท ทำให้วิตามินกลายเป็นหนึ่งในลิสต์วิตามินที่เด็กควรได้รับอย่างเพียงพอ ซึ่งวิตามินบี สามารถพบได้ใน ไข่แดง ผักใบเขียว หรือว่าเนื้อสัตว์ แต่สำหรับเด็กที่ไม่ค่อยกินอาหาร อาจจะส่งผลให้ได้รับวิตามินบีในปริมาณที่ไม่เพียงพอ ดังนั้นให้ลองหาวิตามินบีสำหรับเด็ก หรือวิตามินบีรวม เมื่อเด็กได้รับวิตามินบีที่พอเหมาะ และพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว จะช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโต และพัมฒนาการได้อย่างแน่นอน 

นอกเหนือจากวิตามิน หรืออาหาร เสริม เด็ก ที่จะช่วยเพิ่มสารอาหารให้กับร่างกายแล้วนั้น การบริโภคอาหารให้ถูกหลัก และครบ 5 หมู่ ก็ยังสำคัญต่อการเติบโตของเด็ก ดังนั้นทางที่ดี ถ้าหากลูกคุณไม่ยอมกินข้าว หรือมีปัญหาเรื่องเบื่ออาหาร ให้ลองใช้วิธีอื่นควบคู่กันไป อย่างเช่น การปรับพฤติกรรมการกิน อาจจะลองปรุงอาหาร ตกแต่งจานอาหารให้น่ารับประทาน ก็จะช่วยให้การกินของเด็กดีขึ้นได้ ทั้งนี้การรับประทานอาหาร เสริม เด็ก เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเท่านั้น แต่ก็ยังไม่เทียบเท่ากับการรับประทานอาหารเข้าไปโดยตรงได้

5 วิตามิน บํารุงสมอง คนทำงานออฟฟิศกินไว้ สมองไบร์ท

หนึ่งในอวัยวะในร่างกายที่ทำงานหนักมากที่สุดอย่างหนึ่งในร่างกายก็คือ “สมอง” เพราะสมองนั้นใช้เพื่อควบคุมส่วนต่างๆ ภายในร่างกาย ทั้งการเคลื่อนไหว พฤติกรรม และระบบประสาททั่วทั้งร่างกาย ทำให้นอกจากสมองจะเป็นส่วนที่ใช้งานหนักที่สุดแล้วยังเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดด้วยเช่นเดียวกัน สำหรับชาวออฟฟิศทั้งหลายที่ทำงานหนักตลอดเวลาจนไม่มีเวลาพักผ่อน รวมถึงคนที่เครียดสะสม ต้องใช้สมองในการระดมความคิด กำลังมองหาตัวช่วยที่ทั้งบำรุงสมอง ระบบประสาท ช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้นเวลาที่คิดอะไรไม่ออก แนะนำให้ลองมองหาดูวิตามิน บำรุงสมองที่มีขายทั่วไป มีหลายตัวเลือกให้เลือกซื้อ แต่ถ้าหากคุณอยากหาซื้อวิตามิน บำรุงสมอง และยังตัดสินใจไม่ได้ และยังไม่รู้จะเลือกวิตามิน บำรุงสมองแบบไหนดี มีคำตอบให้ในบทความนี้แล้ว ไปดูกันเลยว่า 5 วิตามิน บำรุงสมองสำหรับชาวออฟฟิศทั้งหลาย ที่อยากให้สมองไบร์ทขึ้นต้องเลือกอย่างไรบ้าง

1. น้ำมันปลา (Fish Oil) 

อย่างที่รู้กันดีอยู่ว่าน้ำมันปลา เป็นหนึ่งในวิตามิน บำรุงสมองที่ได้รับความนิยมมาก และเป็นตัวเลือกต้นๆ ของผู้ที่ต้องการตัวช่วยมาบำรุงสมอง เพราะมีส่วนประกอบของ DHA ช่วยทั้งการลดความเสี่ยงต่อการเป็นความจำเสื่อม ช่วยลดความเครียดได้ดี และทำให้สมองมีความคิดอ่านที่โลดแล่น และ EPA ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งในด้านการบำรุงสมองและหัวใจ อีกทั้งยังมีโอเมก้า 3 (Omega-3) กรดไขมันไม่อิ่มตัว ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ แต่สามารถบริโภคได้จากปลาทะเลทั่วไป แต่ถ้าจะให้ง่ายกว่านั้น คือการกินวิตามิน บำรุงสมอง ที่เป็นน้ำมันปลาเข้าไปก็จะช่วยได้ ทั้งนี้น้ำมันปลา นั้นไม่ใช่น้ำมันตับปลา เพราะมีสารอาหารที่แตกต่างกัน เนื่องจากน้ำมันตับปลานั้นจะมีวิตามินเอ และวิตามินดี ซึ่งถ้าหากคุณบริโภคน้ำมันตับปลามากเกินไป อาจจะส่งผลดีมากกว่าผลเสีย ดังนั้นควรเลือกบริโภคทั้งสองในปริมาณที่พอดี

2. วิตามินบี (Vitamin B) 

วิตามินบี เป็นวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และมีสรรพคุณเยอะมาก ซึ่งหนึ่งในนั้นที่น่าสนใจคือ วิตามินบี ช่วยบำรุงสมองได้เป็นอย่างดี จึงอยากจะแนะนำสำหรับคนที่กำลังมองหาตัวเลือกวิตามิน บำรุงสมอง ไม่ควรมองข้ามวิตามินเป็นอันขาด วิตามินบี มีความจำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก เพราะเป็นโครเอมไซน์ของการเผาผลาญสารอาหาร ใช้สร้างสารสำคัญให้แก่ร่างกาย หนึ่งในนั้นคือระบบประสาทและสมอง แม้ว่าวิตามินบีจะพบได้ในสารอาหารทั่วไป แต่ถ้าคุณไม่มั่นใจว่าจะบริโภคได้ครบหรือไม่ สามารถรับประทานวิตามิน บำรุงสมองที่เป็นวิตามินบีรวมได้เลย ส่วนวิตามินบี หลักๆ ที่จะใส่ไปในอาหารเสริมได้แก่ วิตามินบี 1 วิตามินบี 6 และวิตามินบี 12 ถ้าเลือกเป็นวิตามินรวม ก็จะมีวิตามินตัวอื่นๆ หรือแร่ธาตุ ช่วยบำรุงร่างกาย และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้ รับรองสมองไบร์ทแน่นอน

3. เลซิติน (Lecithin)

แม้ว่าร่างกายมนุษย์จะสามารถสร้างเลซิติน ขึ้นได้ด้วยตัวเองภายในตับ แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า เลซิตินก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ร่างกายต้องการ เพราะว่าถ้าหากได้รับสารอาหารไม่ครบ ก็จะทำให้ร่างกายนั้นขาดเลซิติน ซึ่งเลซิตินเป็นส่วนสำคัญในการช่วยบำรุงระบบสมองและประสาท เพราะในสมองของคนเรานั้นมีส่วนประกอบของเลซิตินมากถึงประมาณ 30% ได้ ซึ่งระบบการทำงานของเลซิตินก็ไม่ยุ่งยาก เพราะเมื่อได้รับเข้าไปในร่างกาย จะเปลี่ยนเป็น “โคลีน” และถูกสังเคราะห์โดยเซลล์ประสาทที่ชื่อว่า “อะซิติลโคลีน” ช่วยในการหล่อเลี้ยงเซลล์ประสาทได้เป็นอย่างดี และเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งถ่ายข้อมูล แสดงพฤติกรรม หรืออารมณ์ได้ดีมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการบริโภคอาหารเสริม หรือวิตามิน บำรุงสมอง เลซิตินเข้าไป จึงช่วยบำรุงสมอง ทำให้ความจำ และเรียนรู้ได้อย่างดี เป็นวิตามินอีกตัว ที่มีส่วนช่วยเรื่องการบำรุงสมองไปแบบเต็มๆ 

4. สารสกัดจากใบแป๊ะก๊วย (Ginkgo) 

ใบแปะก๊วย หรือว่า Ginkgo มีสรรพคุณ และประโยชน์มากมายในการช่วยรักษาโรค ทั้งบรรเทาอาการโรคที่เกี่ยวกับสมอง หรือว่าช่วยทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดในสมองนั้นดีมากขึ้น ทำให้ในปัจจุบันนี้ใบแปะก๊วย ได้กลายมาเป็นสารสกัดหลักในวิตามิน บำรุงสมองในหลายๆ ยี่ห้อ โดยสารสำคัญจากใบแปะก๊วยสำคัญต่อสมองหลายประการ อาทิ ช่วยเพิ่มการต้านทางในการขาดออกซิเจนของสมอง ทำให้สมองนั้นมีประสิทธิภาพในการใช้งานเพิ่มมากขึ้น ป้องกันการสูญเสียความทรงจำได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความตื่นตัว และสมาธิได้ด้วย นอกจากนั้นใบแป๊ะก๊วยยังมีสรรพคุณอื่นๆ เช่น การรักษาอาการบ้านหมุน ต่อต้านสารอนุมูลอิสระในปริมาณสูง และช่วยให้ระบบหมุนเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้นด้วย 

5. สารสกัดแอล-ธีอะนีน (L-theanine)

มาถึงอีกหนึ่งตัวช่วยในการช่วยผ่อนคลายสมอง นอกเหนือจากการบำรุงสมองแล้วนั้น การทำให้สมองผ่อนคลายก็เป็นอีกตัวช่วย ที่ทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น ช่วยลดความเครียด ซึ่งเป็นผลพลอยได้สำหรับคนที่ทำงานหนัก ซึ่ง “สารสกัดแอล-ธีอะนีน (L-theanine)” เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง เกี่ยวข้องโดยตรงกับกลไกของสมอง และกระแสประสาท มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการผลิตคลื่นอัลฟ่าในสมองของมนุษย์ และลดการปล่อยคลื่นเบต้า ทำให้สมองทั้งผ่อนคลาย และลดความเครียดได้ดี ช่วยลดความวิตกกังวล มีส่วนช่วยทำให้การนอนหลับได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับคนที่อยากหาตัวช่วยลดความเครียด เมื่อสมองผ่อนคลายแล้วคุณจะได้สมองที่ไบร์ทขึ้น ผ่อนคลายขึ้น และทำงานได้ดีขึ้นแน่นอนเลยหล่ะ 

นอกเหนือจากวิตามิน บำรุงสมองแล้ว คุณยังสามารถบริโภคอาหารอื่นๆ ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงสมองได้อีก อย่างเช่น ปลาน้ำทะเลลึก ไข่ไก่ ผักโขม ชอกโกแลต หรือพืชตระกูลถั่ว แต่ถ้าหากคุณทำงานหนักจนไม่มีเวลา หรืออยากบำรุงสมองแบบเร่งด่วน ใช้ตัวช่วยที่ไม่ยุ่งยากเลย ก็ให้ลองเลือกดูวิตามิน บำรุงสมองเหล่านี้ที่ไม่ยุ่งยาก บางวิตามินจะรวมวิตามินอื่นๆ มาให้ด้วยแล้ว ทั้งสะดวก แล้วง่าย ไปเลยไปซื้อวิตามินมาบำรุงสมองให้ไบร์ทกัน 

 

ประโยชน์ วิตามิน รวม ที่ผู้หญิงวัย 30+ ควรกินเสริม

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายที่เคยแข็งแรง ภูมิคุ้มกันดี รวมถึงการดูดซึมสารอาหาร ฮอร์โมน และระบบต่างๆ ของร่างกายก็ดูเหมือนจะเสื่อมถอย ทำให้ต้องดูแลร่างกายของตัวเองให้ดีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงที่วัย 30+ ขึ้นไป แต่ในปัจจุบันนี้มีตัวช่วยแบบง่ายๆ ที่จะช่วยเสริมวิตามินให้ร่างกายของคุณแบบองค์รวม ก็คือ “วิตามินรวม” ที่มีให้เลือกมากมายหลายรูปแบบ ซึ่งข้อดีของวิตามินรวมนั้นมีมากกว่าที่คุณคิด เพราะส่วนใหญ่แล้ววิตามินรวมจะเป็นการรวมวิตามันต่างๆ ที่ร่างกายต้องการเอาไว้ในเม็ดเดียว จะช่วยบำรุงร่างกาย เพิ่มภูมิต้านทาน ทั้งช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และลดการอ่อนเพลีย แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับวิตามินรวมชนิดนั้นๆ ที่ร่างกายบริโภคเข้าไป ข้อดีอีกอย่างของวิตามินรวมคือกินแค่เม็ดเดียว ไม่ต้องยุ่งยากรับประทานหลายเม็ด สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเอง แล้วต้องการตัวช่วยแบบครบจบภายในหนึ่งเม็ด วิตามินรวมคือคำตอบที่น่าสนใจ เพราะฉะนั้นบทความนี้เราจึงพาไปดูประโยชน์ของวิตามินรวมว่ามีอะไรบ้าง 

วิตามินรวม สำหรับผู้หญิงวัย 30+

1. ช่วยเพิ่มวิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย 

เมื่อร่างกายถูกใช้งานมาอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่วัย 30 ปีขึ้นไป จึงจำเป็นต้องรับประทานวิตามินรวม เพื่อช่วยเพิ่มวิตามินให้กับร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้ววิตามินรวมที่ว่านี้ มักจะรวมแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายเข้ามาด้วย อย่างเช่น แคลเซียม แมกนีเซียม หรือว่าธาตุเหล็ก เหมาะสำหรับคนวัยทำงาน หรือผู้หญิงวัย 30+ ที่ไม่ค่อยมีเวลามากนัก วิตามินรวมจึงกลายมาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ที่ช่วยวิตามินที่จำเป็นให้กับร่างกาย เพียงแค่รับประทานอย่างต่อเนื่อง รับรองว่าคุณจะรู้สึกได้ว่าไม่ค่อยอ่อนเพลีย ร่างกายแข็งแรง แม้ทำงานหนักแต่ร่างกายจะฟื้นฟูได้เร็ว และภูมิต้านทานโรคมากขึ้นแน่นอน

2. ปรับสมดุลของฮอร์โมน

เพราะฮอร์โมนกับผู้หญิงนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงที่มีอายุเพิ่มขึ้น ฮอร์โมนในร่างกายจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นถ้าใครมีปัญหาเรื่องฮอร์โมน อาทิ อารมณ์แปรปรวน มีความหงุดหงิดที่เพิ่มมากขึ้น ผิวพรรณไม่สดใส นอนหลับยาก ไม่มีสมาธิ หรือประจำเดือนมาผิดปกติ ให้คุณสังเกตตัวเองถ้าหากมีอาการเหล่านี้ แล้วอยากปรับฮอร์โมนให้สมดุล ให้ลองหาวิตามินรวมที่มีสารสกัดของถั่วเหลือง วิตามินบีรวม หรือว่าสารสกัดจากเมล็ดองุ่น ก็จะช่วยในเรื่องของฮอร์โมนได้ดี ซึ่งในปัจจุบันนี้ตามท้องตลาดก็จะมีอาหารเสริมที่ช่วยเรื่องฮอร์โมนของเพศหญิงให้เลือกหลายแบบ

3. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย

มาลดความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือจากการทำงานหนัก ไม่ค่อยมีเวลานอน และได้กินอาหารที่มีประโยชน์ด้วยวิตามินรวมกันดีกว่า เพราะวิตามินรวมที่มีวิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ ใส่มาให้ในเม็ดเดียว นั้นจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอาหารเสริมวิตามินรวม ที่มีส่วนผสมของ วิตามินซี วิตามินดี สังกะสี หรือกรดไขมันโอเมก้า 3 จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ต่อสู้กับเชื้อโรค หรือโรคภัยต่างๆ ได้ดี ถ้าหากใครร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง หรือรู้สึกว่าอ่อนเพลีย การรับประทานวิตามินเสริมภูมิต้านทานจะช่วยได้อีกแรงหนึ่ง

4. ช่วยลดความเครียด

ความเครียดที่เกิดขึ้นมานั้นอาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายคุณได้ในระยะยาว เพราะความเครียดสามารถก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ที่ตามมาได้ในอนาคต อย่างเช่น การนอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน เกิดโรคกรดไหลย้อน หรือแม้แต่การทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ดังนั้นความเครียดจึงมีผลอย่างมากต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งถ้าใครรู้ตัวว่าเครียดมาก หรือไม่อยากให้ความเครียดไปกระทบกับเรื่องอื่นๆ อย่างเช่น เรื่องงาน หรือเรื่องความสัมพันธ์กับคนรอบตัว อยากให้ลองหาวิตามินรวมที่ช่วยลดความเครียดได้มาเป็นส่วนเสริม ซึ่งวิตามินรวมที่ช่วยได้จะเป็นวิตามินบีรวม อย่างเช่น วิตามินบี 6 หรือว่าวิตามินบี 12

5. ช่วยฟื้นฟูร่างกายหลังติดโควิด-19 

ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าร่างกายของคนติดโควิด-19 หรือหายจากอาการโควิดแล้วต้องการความฟื้นฟู เพราะช่วงที่ป่วยเป็นโควิด-19 นั้นนอกจากร่างกายจะได้รับเชื้อเข้าไป อาจจะยังกระทบต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย อย่างเช่น ระบบทางเดินหายใจ หรือระบบประสาท ดังนั้นวิตามินรวมได้เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะมาช่วยฟื้นฟูร่างกายของคุณให้ดีขึ้น ทั้งวิตามินบีรวม วิตามินซี สังกะสี หรือวิตามิน นั้นช่วยได้อย่างแน่นอน นอกจากจะช่วยฟื้นฟูร่างกาย และยังช่วยเสริมภูมิต้านทานด้วย ที่สำคัญคือคุณสามารถรับประทานวิตามินรวมได้ในช่วงที่ยังป่วยอยู่ รวมถึงการพักฟื้นจะทำให้ร่างกายของคุณดีขึ้นอย่างแน่นอน ไม่เฉพาะแค่กลุ่มผู้หญิงที่อายุ 30+ แต่รวมไปถึงบุคคลทั่วไป 

6. เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ 

สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) เป็นหนึ่งในสิ่งที่ร่างกายต้องการ ไม่ใช่แค่ในผู้หญิงที่มีวัยสามสิบขึ้นไปเท่านั้น เพราะจะช่วยทั้งป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ ช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระที่จะเกิดขึ้น ส่วนสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือช่วยชะลอการเกิดออกซิเดชัน (Oxidation) ที่ทำให้เกิดริ้วรอย ความแก่ชรา หรือว่าทำให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ง่าย จึงจำเป็นอย่างมากสำหรับวิตามินรวมที่มีสารต้านอนุมูลอิสระด้วย เพื่อช่วยรักษาเรื่องของผิวพรรณ และทำให้ร่างกายแข็งแรง โดยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในวิตามินรวม สามารถพบได้ใน วิตามินซี วิตามินอี แคโรทีนอยด์ และซีลีเนียม ซึ่งสะดวกมากกว่าหากรับประทานวิตามินรวม ที่รวมสารสกัดเหล่านี้เอาไว้ในเม็ดเดียว

7. ช่วยเรื่องผิวพรรณ 

หลายคนอาจจะแปลกใจว่าทำไมพออายุเข้าเลข 30 แล้ว ผิวพรรณถึงไม่เปล่งปลั่ง สดใส หรือดูแก่กว่าเยาว์วัย ทั้งที่ก่อนหน้านี้นั้นไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก นั่นก็เป็นเพราะว่าฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งก็คือฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่พออายุเพิ่มขึ้น ฮอร์โมนตัวนี้จะน้อยลง แต่สาวๆ ที่วัยอายุถึงสามสิบแล้ว สามารถรับประทานอาหารเสริมวิตามินรวมที่ช่วยในเรื่องของฮอร์โมนได้ และยิ่งร่างกายได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนได้มากขึ้น ก็จะช่วยเรื่องผิวพรรณได้ดียิ่งขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน 

ในท้องตลาดวิตามินรวมนั้นอาจจะรวมถึงแร่ธาตุอื่นๆ สารสกัดอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณที่จะต้องเลือกรับประทานวิตามินรวมที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ หรืออาจจะเลือกดูว่าวิตามินรวมแบบไหนที่ส่งผลต่อร่างกายในแบบที่คุณอยากได้บ้าง เพราะวิตามินรวมก็มีหลายชนิด และแต่ละชนิดก็จะแตกต่างกันออกไป แต่ถ้าจะให้ดีการรับประทานวิตามินอย่างเดียวอาจจะยังไม่เพียงพอ ต้องออกกำลังกาย พักผ่อนนอนหลับให้เต็มที่ ถึงจะทำให้ร่างกายแข็งแรง และเสริมภูมิต้านทานได้มากยิ่งขึ้น

ทำความรู้จัก Prebiotic ประโยชน์สุดเจ๋ง น้อยคนที่รู้เรื่องนี้

แม้ว่าในหนึ่งวันที่คุณรับประทานอาหารนั่นจะมั่นใจได้ว่ารับประทานอาหารได้ครบ 5 หมู่ และมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้เลยว่ายังมีบางสารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เอง หรือเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และร่างกายยังไม่ได้รับสารนั้นในปริมาณที่เพียงพอ ทำให้อาหารเสริม จึงกลายมาเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับคนที่อยากบำรุงในส่วนของเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง บำรุงผิวพรรณ รวมไปถึงการปรับสมดุลของร่างกาย ซึ่งหนึ่งในอาหารเสริมที่กำลังได้รับความนิยม และมีประโยชน์มากมายหลากหลายก็คือ “พรีไบโอติก (Prebiotic)” ทั้งช่วยปรับสมดุลลำไส้ แก้อาการท้องผูก ช่วยลดการอักเสบ และอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นถ้าหากใครมีปัญหาเรื่องลำไส้ หรืออยากปรับสมดุลให้กับลำไส้ของคุณ พรีไบโอติก (Prebiotic) ควรเป็นลิสต์แรกๆ ในอาหารเสริมที่อยากแนะนำให้ได้รู้จักกัน ถ้าใครยังไม่รู้ว่า Prebiotic คืออะไร และมีดีอย่างไร ไปเลยเราไปทำความรู้จักกัน 

พรีไบโอติก (Prebiotic) คืออะไร ?

กล่าวคือ พรีไบโอติก (Prebiotic) เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ที่ได้มาจากน้ำตาลธรรมชาติ ช่วยทั้งกระตุ้นการทำงาน และส่งเสริมจุลินทรีย์ โพรไบโอติก (Probiotics) หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ พรีไบโอติก นั้นเป็นอาหารของโพรไบโอติกนั่นเอง ซึ่งพรีไบโอติก (Prebiotic) นั้นร่างกายไม่สามารถย่อย หรือดูดซึมในระบบทางเดินอาหารได้เลย ทว่าจะถูกดูดซึมด้วยแบคทีเรียในบริเวณลำไส้ใหญ่แทน โดยร่างกายจะดูดซึม พรีไบโอติก (Prebiotic) ได้ก็จะต้องให้โพรไบโอติกนั้นมาย่อยสลายอีกที 

พรีไบโอติก (Prebiotic) นั้นแตกต่างจาก โพรไบโอติกส์ (Probiotics) อย่างไร ?

แม้ว่าชื่อจะคล้ายกัน และหลายคนเกิดความสับสน แต่พรีไบโอติก กับโพรไบโอติกส์ นั้นทำงานแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะโพรไบโอติกส์นั้นเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่สามารถพบได้ทั่วไปใน นมเปรี้ยว หรือโยเกิร์ต ที่ดีต่อลำไส้ ช่วยย่อยอาหารที่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้ รวมถึงการผลิตวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายด้วย ส่วน พรีไบโอติก (Prebiotic) เป็นเป็นอาหารของโพรไบโอติกส์ ทำให้เมื่อร่างกายได้รับพรีไบโอติกมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะส่งผลการทำงานของโพรไบโอติกส์ให้ดีมากยิ่งขึ้นเท่านั้น และนี่คือความแตกต่างของทั้งสองอย่างนี้ 

พรีไบโอติก (Prebiotic) มีกี่ประเภท ?

มีด้วยกันทั้งหมด 2 ประเภท ได้แก่ 

  • โอลิโกแซ็กคาไรด์ (oligosaccharide) คาร์โบไฮเดรตที่ประกอบไปด้วยน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว 3-10 โมเลกุล มีการเชื่อมต่อกันด้วยพันธะไกลโคซิดิก มักจะเป็นน้ำตาลดังต่อไปนี้ สตาคีโอส (stachyose) แลคตูโลส (Lactulose) ราฟฟิโนส (raffinose) และอื่นๆ อีกมากมาย 
  • อินูลิน (inulin) เป็น พอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharide) ที่พืชสะสมไว้เป็นอาหาร สามารถพบได้ทั่วไปใน กล้วย กระเทียม หอมหัวแดง หรือหน่อไม้ฝรั่ง 

อาหารที่มีพรีไบโอติก (Prebiotic) มีอะไรบ้าง ?

คนทั่วไปสามารถเพิ่มพรีไบโอติก (Prebiotic) ให้กับร่างกายได้โดยรับประทานที่มีพรีไบโอติกเข้าไป ซึ่งสามารถหาได้จากสิ่งเหล่านี้ 

  • ผัก: กระเทียม หัวหอม หน่อไม้ฝรั่ง ผักกาดม่วง มะเขือเทศ กะหล่ำปลี
  • ผลไม้: กล้วย ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ อะโวคาโด แตงโม แอปเปิ้ล 
  • ธัญพืช: ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต เมล็ดแฟลกซ์

แม้ว่าพรีไบโอติกในอาหารจะสามารถหารับประทานได้ทั่วไป แต่ถ้าไม่อยากยุ่งยากหรือเสียเวลา สมัยนี้ก็มีอาหารเสริมพรีไบโอติก (Prebiotic) ให้เลือกมากมาย ถ้ายิ่งรับประทานเป็นประจำได้ก็จะยิ่งดี เพราะพรีไบโอติกจะช่วยปรับสมดุลลำไส้ให้ดีขึ้น แถมยังส่งเสริมการทำงานของโพรไบโอติกให้มีประสิทธิภาพขึ้นด้วย

พรีไบโอติก (Prebiotic) เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร ?

ไม่ใช่แค่การปรับสมดุลให้กับลำไส้ และมีประโยชน์ในเรื่องของระบบทางเดินอาหารแต่เพียงเท่านั้น ทว่าพรีไบโอติก ยังมีประโยชน์อื่นๆ กับร่างกาย อย่างที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว ซึ่งพรีไบโอติกจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้างนั้นต้องไปลองดูกัน 

  • ช่วยทำให้การดูดซึมของแคลเซียม และแมกนีเซียมดีมากยิ่งขึ้น จึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกเป็นอย่างดี 
  • ช่วยกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันในทางเดินอาหารให้ดีขึ้น 
  • ดูดซับสารพิษ และสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี ทั้งช่วยปรับสมดุล และป้องกันการเกิดมะเร็งในลำไส้ 
  • มีส่วนช่วยดักจับไขมัน รวมถึงน้ำตาลในระบบทางเดินอาหาร ที่จะก่อให้เกิดโรคต่างๆ ดังนั้นจึงช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคที่มาจากไขมัน หรือน้ำตาลได้ดีขึ้น 
  • ป้องกันการติดเชื้อในทางเดินอาหาร หรือช่วยป้องกันอาการท้องเสียได้ดี 
  • เนื่องจากใยอาหารจากพรีไบโอติก จะไปกระตุ้นการหลั่งสารที่ช่วยทำให้สมองรับรู้ถึงความอิ่ม และรู้สึกสบาย 

เห็นไหมว่าพรีไบโอติก (Prebiotic) นั้นมีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด ถ้าหากใครยังไม่เคยรู้จักพรีไบโอติกมาก่อน ก็สามารถอ่านรายละเอียดที่กล่าวมาข้างต้นได้ ซึ่งการรับประทานพรีไบโอติกนั้นไม่ได้ส่งผลดีต่อแค่ระบบทางเดินอาหารเพียงแค่อย่างเดียว แต่รวมถึงส่วนอื่นๆ ในร่างกายด้วย รู้อย่างนี้แล้วมาบริโภคพรีไบโอติกเพื่อช่วยรักษาสมดุลของลำไส้ และลดการเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ กันดีกว่า ถ้าไม่สะดวกรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยพรีไบโอติก ก็สามารถมองหาอาหารเสริมพรีไบโอติกได้เลย 

HMO สารอาหารสำคัญในนมแม่ ดียังไง?

“น้ำนมแม่” อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญหลายชนิดที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเด็ก ซึ่งมีทั้งกลุ่มโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุ ซึ่งวันนี้เราจะมาเล่าถึงคุณประโยชน์ของ โอลิโกแซคคาไรด์” หรือ Human Milk Oligosaccharides (HMO) สารอาหารสำคัญในนมแม่ที่มีมากกว่าในนมวัวเกินกว่า 100 เท่า ให้คุณแม่ทุกคนได้รู้จักกันว่าทำไมถึงควรให้ลูกน้อยได้กินนมแม่

HMO ถือว่าเป็นสุดยอดสารอาหารสำคัญที่อยู่ในน้ำนมแม่ จัดอยู่ในกลุ่มสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โดยในน้ำนมแม่หนึ่งหยดมี HMO เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สูงเป็นอันดับ 3 รองจากน้ำตาลแลคโตสและไขมันเลยทีเดียว ทั้งนี้ HMO ถูกแบ่งโครงสร้างออกไปมากมายกว่า 200 โครงสร้าง ซึ่งโครงสร้างที่ถูกพบมากที่สุดใน HMO คือ 2’-FL หรือ 2’ ฟูโคซิลแลคโตส (2’-Fucosyllactose) ที่เป็นประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร ระบบขับถ่าย และการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในเด็ก โดยช่วงที่น้ำนมแม่จะมี HMO สูงที่สุดคือช่วงน้ำนมมีสีเหลือง (Colostrums) หรือช่วงที่คุณแม่คลอดลูกใหม่ ๆ แล้วมีน้ำนมไหลนั่นเอง โดยคุณประโยชน์ของ HMO ที่ส่งผลต่อพัฒนาการเด็กนั้นมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น

  • ช่วยป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์ เชื้อโรค แบคทีเรียชนิดไม่ดีมาเกาะที่ลำไส้
  • ลดความเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารและลำไส้ 
  • ลดโอกาสในการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย เช่น โรคท้องผูก โรคอุจจาระร่วง โรคลำไส้อักเสบ โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ฯลฯ
  • ช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานในลำไส้ ทำให้ลำไส้แข็งแรงขึ้น 
  • ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
  • เสริมสร้างภูมิต้านทานในกระแสเลือด 
  • ลดโอกาสการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
  • ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ  
  • ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้
  • ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เป็นต้น

นมแม่ คือเกราะป้องกันชั้นดีของลูก ที่ไม่ใช่แค่เกราะป้องกันชั้นดีทางด้านร่างกาย ที่มีส่วนช่วยให้ร่างกาย สุขภาพ และสมองของลูกแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังเป็นเกราะป้องกันชั้นดีทางด้านอารมณ์และจิตใจของลูกน้อยด้วยเช่นกัน เพราะระหว่างที่คุณแม่ให้นม คุณแม่จะได้โอบกอดลูกแนบชิด ทำให้ลูกน้อยได้สัมผัสถึงความรัก ความอบอุ่นของแม่ที่ส่งผ่านการสัมผัสตัวซึ่งกันและกัน ส่งผลให้ลูกอารมณ์ดี ไม่แปรปรวนง่าย และมีจิตใจที่อ่อนโยนด้วย

เจาะลึก HMO – Human Milk Oligosaccharides คืออะไร

หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “นมแม่ คือสารอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูก” และประโยคนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินจริง เพราะในน้ำนมแม่มีสารอาหารสำคัญมากมายที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ โอลิโกแซคคาไรด์ หรือ Human Milk Oligosaccharides (HMO) นั่นเอง

HMO คือ สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในน้ำนมแม่ ถูกผลิตจากเต้านม ซึ่งในน้ำนมแม่จะมี HMO เป็นส่วนประกอบสำคัญสูงเป็นอันดับ 3 รองจากน้ำตาลแลคโตสและไขมัน โดย HMO นั้นถูกมีโครงสร้างมากมายกว่า 200 โครงสร้าง ซึ่งโครงสร้างที่พบมากที่สุด คือ 2’-FL หรือ 2’ ฟูโคซิลแลคโตส (2’-Fucosyllactose) เป็นพรีไบโอติก (Prebiotics) ที่ช่วยในเรื่องระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายของลูกน้อยให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยดักจับเชื้อโรคและเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่ดี ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคไปเกาะผิวลำไส้ จึงช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารได้ อีกทั้งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับลูกน้อย ลดการเจ็บป่วย การติดเชื้อต่าง ๆ ได้ด้วย 

โอลิโกแซคคาไรด์ หรือ Human Milk Oligosaccharides (HMO) ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอะไรได้บ้าง

  • โรคท้องเสีย
  • โรคลำไส้อักเสบ
  • โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ
  • โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ  
  • โรคภูมิแพ้
  • โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เป็นต้น

นอกจากนี้นมแม่ยังมีสารอาหารอีกมากมาย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อลูกรัก ไม่ว่าจะเป็น 

  • นิวคลีโอไทด์ (Nucleotide) ที่มีส่วนช่วยพัฒนาสมองและอวัยวะต่าง ๆ ของลูกน้อย เพิ่มการดูดซึมของธาตุเหล็กที่ช่วยในการเจริญเติบโต รวมถึงช่วยเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวในระบบภูมิคุ้มกัน คอยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสต่าง ๆ ได้ด้วย
  • ทอรีน (Taurine) เป็นกรดอะมิโนที่สำคัญต่อการทํางานของระบบประสาท สมอง จอประสาทตา  
  • กรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น ดีเอชเอ (DHA หรือ Docosahexaenoic Acid) เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโอเมก้า 3 ที่ช่วยในด้านพัฒนาการสมอง ความจำ ช่วยในการดูดซึมวิตามิน ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญของร่างกายให้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ไขมันในน้ำนมแม่ยังช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย จะสังเกตได้ว่าเด็กในกินนมแม่จะไม่ค่อยเกิดอาการท้องผูกนั่นเอง
  • แลคโตเฟอริน (Lactoferrin) เป็นโปรตีนที่ช่วยควบคุมการดูดซึมธาตุเหล็กในลำไส้ ป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ พร้อมเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
  • วิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น วิตามินบี วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินอี ฯลฯ

ดังนั้นหากคุณแม่มีโอกาสได้ให้นมลูกเองก็ถือว่าเป็นเรื่องดีมาก ๆ  เพราะนมแม่เปรียบเสมือนวัคซีนธรรมชาติชั้นดีสำหรับลูกน้อย ที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกได้ โดยเฉพาะในช่วงแรกที่คลอดลูกออกมาแล้วมีน้ำนมสีเหลือง (Colostrums) จะเป็นช่วงที่น้ำนมมี HMO และสารภูมิคุ้มกันสูงมาก ซึ่งจะช่วยป้องกันและลดโอกาสการติดเชื้อของเด็กแรกเกิดได้เป็นอย่างดี

คุณแม่มือใหม่ ต้องรู้! นมผงแบบไหน เหมาะกับเด็กแรกเกิด

เราเข้าใจดีว่า คุณแม่ส่วนใหญ่ย่อมอยากให้ลูกได้กินนมแม่ โดยเฉพาะการกินนมจากเต้า เพราะนมแม่เป็นแหล่งอาหารชั้นดีที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานร่างกายให้แก่ลูกน้อยได้ รวมไปถึงได้กระชับความรักระหว่างแม่และลูกในขณะให้นมอย่างใกล้ชิด แต่ด้วยความจำเป็นของคุณแม่หลาย ๆ ท่านที่ไม่สามารถให้นมแม่กับลูกได้ ไม่ว่าจะด้วยปัญหาน้ำนมน้อย ปัญหาเรื่องของเวลาการทำงาน ปัญหาทางด้านสุขภาพของคุณแม่ที่ต้องทานยาอย่างต่อเนื่องจนไม่สามารถให้นมลูกได้ ฯลฯ 

ดังนั้นการให้ลูกกิน “นมผง” ถือเป็นทางออกที่ดีไม่แพ้กัน แต่การจะเลือกนมผงสำหรับเด็กแรกเกิดนั้นก็ต้องพิถีพิถันกันสักนิด เพื่อให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารที่ดีที่สุด เหมาะสมกับลูกน้อยของเรามากที่สุด ซึ่งวันนี้เราเทคนิคดี ๆ ในการเลือกนมผงสำหรับเด็กแรกเกิดมาฝากคุณแม่มือใหม่กัน

นมผง สำหรับ เด็กแรกเกิด

1. เลือกนมผงสูตรสำหรับเด็กแรกเกิดโดยเฉพาะ เนื่องจากนมผงมีหลายสูตรด้วยกัน ได้แก่

  • นมผงสูตร 1 : เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 1 ปี เพราะเป็นสูตรที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่ใกล้เคียงนมแม่มากที่สุด มีสารอาหารขั้นพื้นฐานที่เด็กควรได้รับ สามารถย่อยง่าย และไม่เป็นอันตรายสำหรับเด็กแรกเกิด ดังนั้นคุณแม่ควรเลือกนมผงสูตรนี้ให้กับเด็กแรกเกิด
  • นมผงสูตร 2 : เหมาะสำหรับเด็กอายุ 6 เดือน ไปจนถึงอายุ 3 ปี หากลูกอายุครบ 6 เดือนแล้วก็สามารถเปลี่ยนมากินสูตรนี้ได้ ซึ่งนมผงสูตร 2 จะมีการเพิ่มโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัสให้มากขึ้น เพราะวัยนี้มีระบบการย่อยอาหารที่ดียิ่งขึ้นแล้ว
  • นมผงสูตร 3 : เหมาะสำหรับเด็กอายุ 1 – 3 ปี โดยวัยนี้เป็นวัยที่เด็กสามารถทานอาหารได้แล้ว การดูดซึมสารอาหารใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ ดังนั้นการดื่มนมจึงเป็นอาหารเสริมมากกว่า เพื่อให้เด็กได้รับสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่
  • นมผงสูตร 4 : เหมาะสำหรับเด็กอายุ 3 – 6 ปีขึ้นไป นมสูตรนี้จะมีการเพิ่มสารอาหาร เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปรตีน วิตามิน หรือเกลือแร่บางชนิดให้สูงขึ้น เพื่อความเหมาะสมกับเด็กในช่วงวัยนี้

2. เลือกสูตรนมผงให้เหมาะกับสุขภาพของลูก

คุณแม่มือใหม่ควรเลือกนมผงให้เหมาะกับสุขภาพของลูก เพราะนอกจากนมผงจะถูกแบ่งออกเป็น 4 สูตรแล้ว ยังถูกแบ่งย่อยลงไปอีกตามปัญหาสุขภาพของลูก เช่น

  • นมผงสูตรสำหรับเด็กแพ้โปรตีนนมวัว เพราะเด็กแรกเกิดบางคนมีอาการแพ้โปรตีนนมวัว ซึ่งเด็กที่แพ้โปรตีนนมวัวก็อาจจะหันไปกินนมถั่วเหลืองหรือนมแพะแทนได้ โดยวิธีสังเกตเด็กที่แพ้โปรตีนนมวัว คือ มีผื่นขึ้นที่หน้าและลำตัว ถ่ายเป็นมูกเลือด ท้องเสียเรื้อรัง อาเจียน มีอาการหอบ ร้องไห้มากผิดปกติ ยิ่งคุณพ่อคุณแม่มีประวัติแพ้โปรตีนนมวัวด้วยแล้วก็จะทำให้ลูกมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะแพ้ตามเช่นกัน
  • นมผงสูตรย่อยง่าย ที่เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิด เด็กที่มีปัญหาท้องอืด ท้องผูก อุจจาระแข็ง
  • นมผงสูตรไม่มีแลคโตส (Lactose-Free) ที่เหมาะสำหรับเด็กที่มีปัญหาเรื่องการย่อยอาหาร ท้องอืดบ่อย มีแก๊สในท้องมาก เนื่องจากร่างกายไม่สามารถย่อยแลคโตสได้
  • นมผงสูตรสำหรับเด็กแพ้ถั่วเหลือง ฯลฯ นอกจากนี้ไม่ควรเลือกนมผงที่มีรสชาติหวานจนเกินไป เพราะจะทำให้น้ำหนักขึ้นเร็ว เด็กติดหวาน ไม่ยอมทานข้าว และเกิดปัญหาสุขภาพตามมาด้วย

3. เลือกนมผงที่มีมาตรฐานการผลิต

คุณแม่มือใหม่ควรเลือกนมผงที่มีมาตรฐานการผลิตเพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย โดยเกณฑ์การพิจารณามีดังนี้

  • มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าระบุชัดเจน สามารถตรวจสอบได้
  • มีข้อมูลประเภทของนมผงระบุ เช่น นมผงสูตร 1 นมผงสำหรับเด็กแพ้โปรตีนนมวัน เป็นต้น
  • มีข้อมูลวัน เดือน ปีที่ผลิต และวันหมดอายุระบุครบถ้วน  
  • ได้รับการรับรองจาก อย. 
  • มีเลขผลิตภัณฑ์ระบุชัดเจน
  • มีข้อมูลส่วนประกอบระบุครบถ้วน
  • มีข้อมูลโภชนาการระบุครบถ้วน
  • มีวิธีการชงนมระบุชัดเจน
  • บรรจุภัณฑ์ไม่บุบ ไม่เป็นสนิม สะอาด ไม่มีรอยรั่ว และปิดสนิท

หวังว่าเคล็ดลับที่เรานำมาฝากนี้ จะช่วยให้คุณแม่มือใหม่ตัดสินใจเลือกซื้อนมผงให้กับลูกน้อยได้ง่ายขึ้น สิ่งสำคัญที่ควรจำให้ขึ้นใจในการเลือกซื้อนมผงให้กับลูก คือ นมผงที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคา แต่คุณแม่ควรเลือกให้เหมาะกับลูกน้อยจะดีที่สุด พร้อมศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ไม่ได้เชื่อตามรีวิวเท่านั้น หากไม่แน่ใจว่าจะเลือกนมผงให้กับลูกอย่างไรดี แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อความมั่นใจอีกครั้งก็ได้เช่นกัน

เราใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของคุณและเก็บข้อมูล
เพื่อประสิทธิภาพของเว็บไซต์ คุณสามารถตั้งค่าความยินยอม
การใช้คุกกี้ได้โดยคลิกที่ การตั้งค่าคุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    Cookies Details

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    Cookies Details

บันทึก