ระบบขับถ่าย ไม่ดี โพรไบโอติก ช่วยได้อย่างไร?

“โพรไบโอติก” (Probiotic) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่อยู่ในร่างกายมนุษย์ ส่วนมากพบในระบบทางเดินอาหาร นับว่าเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะการส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งน้อยคนนักที่จะทราบว่าโพรไบโอติกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มแลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) กลุ่มบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) กลุ่มแซคคาโรไมซิส (Saccharomyces Boulardii) ฯลฯ โดยเฉพาะกลุ่มแลคโตบาซิลลัส ที่ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย และกลุ่มบิฟิโดแบคทีเรียม ที่ช่วยในเรื่องการดูแลอาการลำไส้แปรปรวนให้ดีขึ้น และช่วยสร้างภูมิต้านทานในร่างกายได้อีกด้วย

สำหรับใครที่ระบบขับถ่ายไม่ดี เราแนะนำให้หาอาหารที่มีโพรไบโอติกสูงมารับประทาน เช่น โยเกิร์ตรสธรรมชาติ นมเปรี้ยว คอมบูฉะ ดาร์กช็อคโกแลต ถั่วนัตโตะ น้ำส้มสายชูหมัก กิมจิ ซุปมิโซะ ฯลฯ เพราะหลังจากที่เรารับประทานอาหารที่มีโพรไบโอติกเข้าไปแล้ว โพรไบโอติกจะเข้าไปจับกับผิวเยื่อบุลำไส้ แล้วผลิตสารต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์หรือแบคทีเรียที่ไม่ดี ส่งผลให้ลำไส้แข็งแรง ระบบขับถ่ายดีขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้โพรไบโอติกยังมีส่วนช่วยเรื่องระบบขับถ่ายและระบบทางเดินอาหารของเราให้ดีขึ้นได้อีกหลายอย่าง 

ระบบขับถ่าย ไม่ดี โพรไบโอติกช่วยได้

  • ช่วยปรับสมดุลระบบขับถ่ายให้กลับสู่สภาวะปกติ ดังนั้นโพรไบโอติกจึงเหมาะมากสำหรับคนที่ท้องผูกบ่อยหรือท้องเสียบ่อย 
  • ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ไม่ดี อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับลำไส้ เช่น ลำไส้อักเสบ ลำไส้แปรปรวน ท้องอืด ท้องเฟ้อ กรดไหลย้อน ฯลฯ
  • ช่วยในเรื่องการดูดซึมสารอาหาร ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ 
  • ช่วยกระตุ้นระบบการย่อยอาหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การขับถ่ายจึงเป็นไปได้ตามปกติ
  • ช่วยฟื้นฟูการทำงานของลำไส้ ทำให้ลำไส้มีภูมิคุ้มกัน มีความแข็งแรงมากขึ้น ระบบขับถ่ายจึงดีขึ้นตาม
  • ช่วยการป้องกันการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย เช่น โรคกระเพาะ โรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน เป็นต้น
  • ช่วยทำให้ระบบทางเดินปัสสาวะดีขึ้น ลดโอกาสในการเกิดการอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะ ลดโอกาสในการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคปัสสาวะอักเสบได้
  • ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพราะระบบขับถ่ายเป็นปกติ อีกทั้งโพรไบโอติกยังมีคุณสมบัติในการป้องกันการเกิดสารก่อมะเร็งได้ด้วย

นอกจากโพรไบโอติกจะช่วยปรับปรุงระบบขับถ่ายของเราให้ดีขึ้นได้แล้ว ยังมีประโยชน์ด้านอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็น ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยทำให้ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มีอาการดีขึ้น ช่วยลดการอักเสบของผิว ลดโอกาสการเกิดโรคผิวหนังต่าง ๆ ฯลฯ ดังนั้นใครที่รู้ตัวว่าตัวเองระบบขับถ่ายมีปัญหา ก็อย่าลืมไปหาโพรไบโอติกมาทานกันนะ

โพรไบโอติก 8 เรื่องที่ต้องรู้ ดีมากกับร่างกาย

เราเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “โพรไบโอติก” (Probiotic) กันอยู่บ่อย ๆ แต่หากใครยังไม่รู้ว่าโพรไบโอติกคืออะไร มีประโยชน์เรื่องใดบ้าง วันนี้เรามีข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของโพรไบโอติกมาฝากกัน

โพรไบโอติก (Probiotic) 

คือ จุลินทรีย์ขนาดเล็กที่ดีต่อร่างกาย ถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม เช่น แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) บิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) แซคคาโรไมซิส (Saccharomyces Boulardii) ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องระบบทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน เพราะเมื่อทานอาหารที่มีโพรไบโอติกเข้าไปแล้ว โพรไบโอติกจะเข้าไปจับกับผิวเยื่อบุลำไส้ ป้องกันไม่ให้เชื้อก่อโรคจับที่ผิวเยื่อบุลำไส้ ช่วยกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่ดี ทำให้ลำไส้แข็งแรงมากขึ้น ระบบขับถ่ายและระบบภายในของเราจึงดีขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้โพรไบโอติกยังมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอีกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น

1.โพรโบโอติกมีส่วนช่วยปรับสมดุลในระบบย่อยอาหาร โดยเฉพาะใครที่ชอบท้องเสียบ่อยหรือท้องผูกบ่อย ๆ การทานโพรไบโอติกจะช่วยปรับสมดุลของระบบทางเดินอาหาร ช่วยลดการเกิดท้องเสีย อาการอักเสบของลำไส้ ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง ฯลฯ รวมไปถึงช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ก่อโรคในลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายกลับมาสู่สภาวะปกติได้นั่นเอง

2. โพรโบโอติกช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพราะหากแบคทีเรียที่ไม่ดีในลำไส้ใหญ่รวมตัวกัน และได้รับการกระตุ้นจากการทานอาหารที่มีไขมันสูงและเนื้อสัตว์จำนวนมาก รวมไปถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ทำร้ายสุขภาพ ก็จะทำให้เกิดเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ ดังนั้นการทานโพรไบโอติกหรือมีโพรไบโอติกในร่างกายเพียงพอ ก็จะช่วยแปรเปลี่ยนสภาพแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งต่าง ๆ รวมไปถึงช่วยกำจัดสารก่อมะเร็งบางชนิดไปได้ นอกจากนี้หากผู้ที่เป็นมะเร็งได้รับโพรไบโอติกที่เพียงพอ ก็จะช่วยฟื้นฟูการทำงานของลำไส้ ทำให้ลำไส้แข็งแรงมากขึ้น ดูดซึมสารอาหารได้ดีอีกด้วย

3. โพรโบโอติกมีส่วนช่วยป้องกันและบรรเทาโรคในระบบทางเดินอาหารได้ เช่น โรคกระเพาะ โรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน เป็นต้น

4. โพรโบโอติกมีส่วนช่วยเสริมสร้างและกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย เพราะอย่างที่กล่าวไปว่า โพรไบโอติก มีส่วนช่วยทำให้ระบบทางเดินอาหารของเราดีขึ้น เมื่อระบบอาหารแข็งแรงดีพอ ลำไส้ก็จะดูดซึมสารอาหาร. เข้าไปในกระแสเลือดได้ดี ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันในการป้องกันการติดเชื้อได้ โอกาสที่เชื้อโรคจะเล็ดลอดเข้าสู่กระแสเลือดน้อยลง ผลดีก็จะเกิดกับระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยเฉพาะภูมิคุ้มกันในลำไส้ ระบบทางเดินอาหารนั่นเอง

5. โพรโบโอติกมีส่วนช่วยทำให้โรคภูมิแพ้ดีขึ้น ช่วยปรับสภาพภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดอาการน้ำมูกไหล หอบหืด จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ผื่นคัน เป็นต้น

6. โพรโบโอติกมีส่วนช่วยทำให้ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบภายในของผู้หญิงดีขึ้น เพราะโพรไบโอติกในกลุ่มแลคโตบาซิลลัส จะช่วยลดอาการอักเสบ ลดการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ ลดการสะสมของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคปัสสาวะอักเสบ ช่วยป้องกันการติดเชื้อในช่องคลอด เชื้อราในช่องคลอด และปากช่องคลอดได้ด้วย

7. โพรโบโอติกมีส่วนช่วยทำให้ผิวพรรณดีขึ้น เพราะเปรียบเสมือนอาหารผิวอย่างหนึ่ง ที่ช่วยลดอาการอักเสบของผิว ช่วยป้องกันผื่นคัน เสริมสร้างความสมดุลให้กับผิว ผิวมีสมดุลค่า pH ที่ดี เกราะชั้นผิวแข็งแรงมากขึ้น

8. โพรไบโอติกช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ผิวหนังและลดปัญหาโรคผิวหนัง เช่น โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง โรคเซ็บเดิร์ม โรคสะเก็ดเงิน เป็นต้น

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคุณประโยชน์จากโพรไบโอติกเท่านั้น เห็นแล้วใช่ไหมว่าโพรไบโอติกสำคัญกับร่างกายของเรามากจริง ๆ โดยเราขอแนะนำแหล่งอาหารที่มีโพรไบโอติกสูงและสามารถหามาทานได้ง่าย เช่น โยเกิร์ตธรรมชาติ นมเปรี้ยว ชาหมัก ดาร์กช็อคโกแลต กิมจิ มิโซะ ฯลฯ หรือสามารถหาวิตามิน อาหารเสริม ที่มีส่วนผสมของโพรไบโอติกมาทานก็ง่ายเช่นกัน แถมยังสะดวกอีกด้วย เชื่อเถอะว่าหากร่างกายของเรามีโพรไบโอติกมากพอ โอกาสในการเจ็บป่วยก็จะน้อยลง แถมยังได้สุขภาพดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

เบลอปุ๊บจัดปั๊บ 8 วิตามิน บํารุงสมอง ไอเดียพุ่ง

วิตามินและแร่ธาตุมีบทบาทสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพโดยรวมของเรา ช่วยให้ร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ทำให้เราไม่เจ็บป่วยง่าย และสามารถต่อสู่กับเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอมต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้วิตามินบางชนิดยังมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและสมอง สำหรับใครที่เรียนหรือทำงานหนัก รู้สึกว่าพักผ่อนไม่ค่อยเพียงพอ หรือคนที่อยากดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น เราจะมาแนะนำวิตามินบำรุงสมอง ที่จะช่วยให้รู้สึกสดชื่นสดใส สมองไบรท์คิดอะไรก็ออกกันค่ะ

8 วิตามินบำรุงสมอง ลองแล้วจะติดใจ

1. วิตามินบี 12 (Vitamin B12) 

วิตามินบี 12 เป็นวิตามินที่มีความสำคัญมากต่อการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงและการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของระบบประสาท โดยทั่วไปเราสามารถพบวิตามินบี 12 ได้ในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ อาทิ เนื้อสัตว์ ปลา และผลิตภัณฑ์จากนม การขาดวิตามินบี 12 อาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ความจำเสื่อม รู้สึกสับสน และมีอาการซึมเศร้า โดยเฉพาะในผู้ที่รับประทานอาหารเจและมังสวิรัติมีความเสี่ยงสูงที่จะขาดวิตามินชนิดนี้ จึงอาจจำเป็นที่จะต้องเสริมด้วยวิตามินบี 12 นะคะ

2. วิตามินดี (Vitamin D)

วิตามินดีมีความจำเป็นต่อการสร้างและบำรุงกระดูกให้แข็งแรง และยังมีบทบาทสำคัญในการทำงานของสมองโดยเฉพาะในส่วนของการสื่อสารระหว่างสมองกับส่วนต่างๆ ของร่างกาย อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินดี ได้แก่ ปลาที่มีไขมัน และไข่แดง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่พบว่าการขาดวิตามินดีเชื่อมโยงกับความเสี่ยงในการมีภาวะซึมเศร้า ภาวะสมองเสื่อม และความบกพร่องทางสติปัญญาอีกด้วย โดยปกติแล้วร่างกายสามารถสร้างวิตามินดีได้จากการได้รับแสงแดด แต่ในปัจจุบันทั้งด้วยฝุ่นควัน มลพิษต่างๆ รวมไปถึงชีวิตประจำวัน อาจทำให้เราไม่ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ การรับประทานวิตามินดีเสริมจึงเป็นตัวช่วยอีกทางหนึ่ง

3. วิตามินอี (Vitamin E)

วิตามินอีจัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพมาก สามารถช่วยป้องกันอันตรายที่เกิดจากอนุมูลอิสระต่อเซลส์สมองได้ เราสามารถพบวิตามินอีได้ในน้ำมันพืช ถั่ว และผักใบเขียว จากการศึกษาพบว่าวิตามินอีมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ นอกจากนี้วิตามินอียังช่วยปกป้องสมองจากความเครียดได้อีกด้วย

4. วิตามินเค (Vitamin K)

วิตามินเคเป็นวิตามินที่ละลายได้ดีในไขมัน มีบทบาทสำคัญในการแข็งตัวของเลือด ป้องกันภาวะเลือดไหลไม่หยุดโดยเฉพาะเมื่อเกิดบาดแผลจากอุบัติเหตุ วิตามินเคพบได้มากในผักใบเขียว เช่น ผักโขมและบรอกโคลี นอกจากนี้วิตามินเคยังมีความสำคัญต่อการผลิตโปรตีนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการซ่อมแซมเซลล์สมองอีกด้วย

5. วิตามินซี (Vitamin C)

วิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายได้ดีในน้ำและไม่สะสมในร่างกาย ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องสมองจากสารอนุมูลอิสระต่างๆ วิตามินซีมีมากในผลไม้รสเปรี้ยว เช่น เบอร์รี่ และผักใบเขียว วิตามินซียังมีบทบาทสำคัญในการผลิตสารสื่อประสาทซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมองเป็นอย่างมาก นอกจากนี้วิตามินซียังอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย

6. โฟเลต (Folate)

โฟเลต หรือกรดโฟลิก เป็นวิตามินบีชนิดหนึ่ง มีความสำคัญต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงและสารสื่อประสาท ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทและสมองอย่างมาก โฟเลตพบได้มากในผักใบเขียว พืชตระกูลถั่ว และธัญพืชต่างๆ นอกจากนี้ปริมาณโฟเลตยังมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันความพิการแต่กำเนิดของทารก คุณแม่จึงควรได้รับโฟเลตในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการในระหว่างตั้งครรภ์

7. กรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3)

กรดไขมันโอเมก้า-3 มีความสำคัญต่อการรักษาสุขภาพ รวมถึงการดูแลสมองให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ สามารถพบได้ในปลาที่มีไขมัน เมล็ดแฟลกซ์ และเมล็ดเจีย กรดไขมันโอเมก้า-3 นี้มีความสำคัญต่อการพัฒนาสมอง ทั้งยังเชื่อมโยงกับความเสี่ยงในการเป็นภาวะซึมเศร้าอีกด้วย

8. โคลีน (Choline)

โคลีนพบได้มากในไข่แดง ตับ และเลซิตินจากถั่วเหลือง ซึ่งมีความสำคัญต่อความจำและการทำงานของสมอง มีการศึกษาพบว่าโคลีนอาจช่วยพัฒนาความจำ ส่งผลต่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้โคลีนยังมีบทบาทในการผลิตสารสื่อประสาทและยังเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ของสมอง

วิธีที่ดีที่สุดในการดูแลรักษาสมองให้ความจำดี มีสมาธิ ทำงานได้มีประสิทธิภาพคือการพักผ่อนที่เพียงพอ และการเลือกรับประทานอาหารที่ครบถ้วน อุดมไปด้วยวิตามินบำรุงสมองที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดต่างๆ ในปัจจุบันอาจทำให้การเลือกรับประทานอาหารที่มีวิตามินบำรุงสมองเป็นไปได้ยาก อาหารเสริมจึงมีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวช่วยให้เราได้รับวิตามินที่เพียงพอ ช่วยให้เราสามารถดูแลร่างกายได้ดีขึ้น วิตามินที่มีส่วนสำคัญต่อการบำรุงสมอง เหมาะเป็นอย่างยิ่งต่อวัยทำงานที่มักต้องใช้ความคิดตลอดเวลา และนักเรียนนักศึกษาที่ต้องใช้ความจำในการเรียนรู้และทำความเข้าใจเนื้อหาต่างๆ

อย่างไรก็ตาม เราควรขอแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้สามารถเลือกรับประทานวิตามินบำรุงสมองได้ตรงต่อความต้องการของร่างกาย รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็เป็นอีกวิธีในการช่วยดูแลสมองให้สดใสไอเดียพุ่งไปนานๆ

5 เทคนิค เลือกซื้อวิตามินรวมแบบใด ให้เหมาะกับทุกเพศทุกวัย

วิตามินรวมเป็นอาหารเสริมยอดนิยมที่มีประโยชน์มากมาย ช่วยให้ร่างกายของเราได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นอย่างครบถ้วน เป็นเหมือนตัวช่วยในการดูแลสุขภาพโดยรวม เนื่องจากด้วยไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันทำให้การดูแลด้านอาหารการกินให้ร่างกายได้รับวิตามินอย่างเพียงพออาจเป็นเรื่องยาก การรับประทานวิตามินรวมนั้นให้ประโยชน์ในทุกเพศทุกวัย แต่อาจแตกต่างกันไปตามความต้องการเฉพาะของแต่ละคน ที่สำคัญคือเราต้องมีเทคนิคในการเลือกวิตามินรวมที่ได้คุณภาพและเหมาะสมสำหรับความต้องการนั่นเอง

ใครบ้างที่จำเป็นต้องเสริมวิตามินรวม

  • ผู้ที่มีภาวะพร่องโภชนาการ หรือขาดสารอาหาร
  • ผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพเกี่ยวกับการดูดซึมสารอาหาร
  • ผู้ที่ลดน้ำหนักแบบผิดวิธี
  • ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดและร่างกายต้องได้รับการฟื้นฟู
  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีข้อจำกัดด้านการรับประทานอาหารเนื่องจากอาการเจ็บป่วย
  • ผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ

แม้ว่าโดยทั่วไปเราจะได้รับวิตามินรวมจากอาหารต่างๆ ที่เรารับประทานเข้าไป แต่ในบางเวลา เช่น เมื่อเราเจ็บป่วย มีความเครียด โหมงานหนัก วิตามินที่ได้รับตามปกติก็อาจไม่เพียงพอ เราจึงจำเป็นต้องเสริมด้วยวิตามินรวม

5 วิธีเลือกวิตามินรวมให้เหมาะ

  1. เลือกดูผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินรวมที่จำเป็นอย่างครบถ้วน ในปริมาณและสัดส่วนที่เหมาะสม อาทิ วิตามินซี วิตามินบี วิตามินดี และธาตุเหล็ก เป็นต้น
  2. เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าเชื่อถือ มีมาตรฐานและได้รับการรับรองจาก CGMP (Current Good Manufacturing Practices) ซึ่งจะให้การรับรองเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัยตามข้อกำหนด รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา
  3. คำนึงถึงความต้องการด้านสารอาหาร เช่น หากเราเป็นผู้รับประทานอาหารมังสวิรัติก็อาจจะต้องเลือกวิตามินรวมที่มีวิตามินบี 12 ในระดับสูงเพื่อชดเชยกับวิตามินที่มีเฉพาะในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ในขณะที่สตรีมีครรภ์ก็อาจต้องเลือกรับประทานวิตามินรวมที่มีกรดโฟลิกเสริมมากเป็นพิเศษ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อพัฒนาการของทารก เป็นต้น
  4. เข้าใจความต้องการตามช่วงวัยและไลฟ์สไตล์เฉพาะของตัวเอง เช่น หากคุณอยู่ในช่วงวัยทำงาน มีการโหมงานหนัก พักผ่อนน้อย ก็อาจจะเน้นเลือกวิตามินรวมที่มีสัดส่วนของกลุ่มวิตามินบีมากกว่ากลุ่มสำหรับดูแลเรื่องผิวพรรณ หรือในผู้สูงอายุก็อาจต้องการวิตามินดีและแคลเซียมมากขึ้นเพื่อดูแลเรื่องกระดูก เป็นต้น
  5. เลือกรูปแบบของอาหารเสริมที่เหมาะกับตัวเอง บางคนอาจไม่ชอบวิตามมินรวมแบบเม็ดเพราะมีขนาดใหญ่ ก็อาจเลือกเป็นวิตามินรวมชนิดเม็ดฟู่ละลายน้ำทดแทนได้ หรือบางคนอาจชอบวิตามินรวมแบบเคี้ยวหรือกัมมี่เพราะสะดวกและมีรสชาติดี อย่างไรก็ตาม ควรเลือกวิตามินรวมในรูปแบบที่เราจะสามารถรับประทานได้อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เราได้รับประโยชน์สูงสุดนั่นเอง

ข้อควรระวังในการเลือกซื้อวิตามินรวม

  1. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนเริ่มรับประทานวิตามินรวมใดใด โดยเฉพาะในผู้ที่ตั้งครรภ์ อยู่ในระหว่างการรักษา หรือกำลังรับประทานยาบางชนิด
  2. อย่าลืมอ่านฉลากอย่างละเอียดและตรวจสอบปริมาณของส่วนผสมของวิตามินแต่ละชนิดเพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับวิตามินบางชนิดสูงจนเกินไป ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ เช่น วิตามินเอหากรับประทานมากเกินไปอาจเป็นพิษได้ หรือธาตุเหล็กหากได้รับมากเกินก็อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
  3. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารบางชนิดในปริมาณมาก เนื่องจากอาหารนั้นๆ อาจมีปริมาณวิตามินที่ตรงกับที่เรากำลังรับประทานเสริม ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินชนิดนั้นเกินความจำเป็น
  4. อย่าลืมคำนึงถึงปัญหาด้านสุขภาพอื่นๆ อาทิ เบาหวาน หรือการแพ้กลูเตน ซึ่งจะส่งผลต่อการเลือกรูปแบบวิตามินรวมที่จะรับประทาน
  5. ไม่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีการโฆษณาถึงผลลัพธ์ที่รวดเร็วและเกินจริง เช่น ช่วยให้ผิวกระจ่างใสใน 7 วัน หรือช่วยลดน้ำหนักได้ หรือสามารถช่วยรักษาโรคบางชนิดได้ เนื่องจากอาจมีส่วนผสมที่เป็นอันตราย และวิตามินเป็นเพียงการเสริมสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายให้ครบถ้วน แต่ไม่มีผลต่อการรักษาโรคโดยตรง

การเลือกวิตามินรวมที่เหมาะสมกับเราอาจต้องใส่ใจและหาข้อมูลเพื่อความเหมาะสมในการเลือกรับประทานให้ตรงกับความต้องการ ไม่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่นิยมหรือเพียงได้รับการบอกต่อ แต่ควรเลือกดูผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าเชื่อถือ มีฉลากบอกรายละเอียดอย่างครบถ้วน ได้มาตรฐาน มีการรับรอง และที่สำคัญคือมีปริมาณวิตามินรวมที่เหมาะกับความต้องการของร่างกายของเรา

นมแม่ไม่พอ 5 วิธีเลือกซื้อนมผงให้ลูก แบบเหมาะกับวัย

เมื่อนมแม่ไม่เพียงพอ นมผงจึงมีความจำเป็นและยังเป็นวิธีที่สะดวกและคุ้มค่าที่สุดเพื่อสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ดีของลูกน้อย อย่างไรก็ตาม นมผงแต่ละประเภทก็เหมาะกับเด็กแต่ละช่วงวัยแตกต่างกันได้ คุณแม่จึงควรเลือกนมผงที่เหมาะสมตรงกับความต้องการของลูกน้อยมากที่สุด นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลิตตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยและดีที่สุดสำหรับลูกน้อยของคุณแม่นั่นเอง

5 วิธีเลือกซื้อนมผงให้ลูก แบบเหมาะกับวัย

1. เลือกนมผงให้ตรงตามช่วงวัย 

โดยทั่วไปแล้วนมผงของเด็กจะถูกแบ่งของเป็น 3 สูตรหรือ Formula หลักๆ คือ สูตร 1, สูตร 2 และสูตร 3

  • สูตร 1 จะเป็น Infant Formula เหมาะสำหรับทารกแรกเกิดจนถึง 1 ปี โดยจะมีสารอาหารพื้นฐานตามที่ทารกต้องการอย่างครบถ้วน
  • สูตร 2 เหมาะสำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 3 ปี จะเสริมโปรตีน แคลเซียม และฟอสฟอรัสเพิ่มขึ้นเพื่อให้เหมาะกับช่วงวัยของเด็กที่กำลังเติบโต
  • สูตร 3 เหมาะสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป โดยปกติมักมีสูตรที่คล้ายกับนมของเด็กโตหรือของผู้ใหญ่ในรูปแบบผง แต่อาจแตกต่างออกไปตามแต่การเติมสารอาหารพิเศษของแต่ละแบรนด์

2. เลือกนมผงให้เหมาะสมตามอาการ

คุณแม่ต้องคอยหมั่นสังเกตอาการว่าลูกน้อยแพ้นมวัวหรือไม่ หรือมีอาการท้องผูก ท้องเสีย หรือท้องอืด มีแก๊สในท้องเยอะหรือไม่ เพราะในเด็กบางคนอาจมีอาการแพ้นมถั่วเหลืองแทนนมวัว คุณแม่จึงจำเป็นต้องคอยสังเกตอาการให้ดี และระมัดระวังในการเลือกนมผงที่เหมาะสมและไม่มีส่วนผสมที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้

ข้อสังเกตเบื้องต้น

  • ท้องอืด พุงป่อง มีแก๊สเยอะ ลูกน้อยมักมีอาการงอแงและไม่ยอมทานนม คุณแม่อาจเลือกนมผงชนิดที่ไม่มีแล็กโทส หรือ Lactose-free formula เพราะลูกน้อยอาจมีอาการแพ้โปรตีนในนม ไม่สามารถย่อยได้นั่นเอง
  • มีผื่นขึ้น ลูกน้อยอาจมีอาการแพ้นมวัวหรือนมถั่วเหลือง ซึ่งคุณแม่อาจต้องเลือกนมผงที่เป็นสูตรพิเศษ Special formula แทนสูตรปกติทั่วไป อย่างไรก็ตามควรปรึกษากุมารแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงก่อนการเลือกซื้อนมผงใหม่

3. เลือกนมผงที่มีสารอาหารสำคัญครบถ้วน

สำหรับคุณแม่ที่อาจมีน้ำนมไม่เพียงพอซึ่งจำเป็นต้องเลือกใช้นมผงเป็นตัวช่วย จึงจำเป็นต้องใส่ใจอย่างมากในการเลือกนมผงที่มีสารอาหารครบถ้วน เพราะจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ดีของเด็ก โดยคุณแม่ควรคำนึงถึงดีเอชเอ (DHA) ที่มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและสมอง เสริมเรื่องความจำและการเรียนรู้ ไฟเบอร์ (Fiber) ได้แก่อินนูลิน และแอลซีฟอส ซึ่งช่วยให้ลูกน้อยมีการขับถ่ายที่ดี ไม่เกิดอาการท้องผูก จึงทำให้ลูกน้อยอารมณ์ดี ไม่งอแงเพราะไม่สบายตัวนั่นเอง นอกจากนี้คุณแม่ยังควรคำนึงถึงโปรตีน (Protein) ทั้งเวย์และเคซีน ซึ่งเป็นโปรตีนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต การเสริมสร้างกระดูก กล้ามเนื้อ และเซลส์เนื้อเยื่อต่างๆ ของลูกน้อย

4. เลือกนมผงแบบออร์แกนิก 

โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ฮอร์โมน หรือยาปฏิชีวนะ นอกจากนี้ยังควรปราศจากการดัดแปลงทางพันธุกรรม หรือ GMOs ซึ่งนมผงที่เป็นตัวเลือกแบบออร์แกนิกนั้นมักมีราคาแพงกว่า แต่ข้อดีก็คือความอุ่นใจในการเลือกใช้นมผงที่ปลอดภัยต่อลูกน้อยและไม่ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว หรือไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ในอนาคต

5. เลือกนมผงจากแหล่งโปรตีนสำคัญ 

เนื่องจากนมผงบางชนิดทำจากนมวัว ในขณะที่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ อาจทำจากถั่วเหลือง หรือพืชทางเลือกอื่นๆ คุณแม่จึงต้องคอยดูและสังเกตลูกน้อยว่าสามารถย่อยนมวัวได้ตามปกติหรือไม่ หรือมีอาการแพ้โปรตีนชนิดใดเป็นพิเศษหรือไม่ เพราะเด็กบางคนก็อาจมีอาการแพ้ถั่วเหลืองหรือถั่วบางชนิดได้ คุณแม่จึงต้องคอยหมั่นดูอาการและปรึกษากับกุมารแพทย์ทุกครั้งเมื่อพบความผิดปกติหรือต้องการเปลี่ยนนมผง

การเลือกนมผงที่เหมาะสมสำหรับลูกน้อยอาจเป็นเรื่องที่น่ากังวล อย่างไรก็ตามการหาข้อมูลอย่างรอบคอบ การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ได้การรับรอง มีความน่าเชื่อถือ พร้อมกับการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะเป็นตัวช่วยให้คุณแม่สามารถเลือกนมผงได้ตรงตามความต้องการของลูกน้อยที่สุด นอกจากนี้คุณแม่ยังควรอ่านฉลากอย่างระมัดระวังเสมอ ที่สำคัญคือต้องตรวจสอบส่วนผสมเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีสารก่อภูมิแพ้หรือสารเติมแต่งที่อาจนำไปสู่อาการแพ้ของลูกน้อยได้

8 อาหารพิชิตลองโควิด โพรไบโอติกก็ช่วยได้นะรู้ยัง

ลองโควิด หรือ Long Covid เป็นคำที่ใช้เรียกอาการที่คงอยู่เป็นเวลานานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนหลังจากที่เราหายจากการติดเชื้อ Covid-19 ซึ่งอาการลองโควิดนั้นค่อนข้างหลากหลาย รวมไปถึงความรู้สึกอ่อนเพลีย อาการสมองล้า ปวดกล้ามเนื้อและข้อ หรือรู้สึกหายใจลำบาก แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่มีวิธีป้องกันอาการลองโควิด โดยเรายังต้องรับประทานยาหรือดูแลรักษากันไปตามอาการ แต่เราสามารถดูแลเรื่องสุขภาพโดยรวมเพื่อให้มีอาการลองโควิดน้อยลง หายเร็วขึ้น ร่างกายฟื้นฟูได้ดีขึ้นได้ และหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการดูแลตัวเองก็คือการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์บางชนิด

8 อาหารพิชิตลองโควิด

1. ปลาแซลมอน (Salmon)

ปลาแซลมอนนั้นอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3) ซึ่งสามารถช่วยลดการอักเสบทั่วร่างกายได้ โดยโอเมก้า-3 ยังช่วยบำรุงการทำงานของสมอง จึงมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีอาการสมองล้าหรือ brain fog ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของลองโควิดที่หลายคนมักจะเป็น

2. ผักโขม (Spinach)

ผักโขมเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบที่สามารถช่วยเสริมประสิทธิภาพให้แก่ภูมิคุ้มกันของร่างกาย สารอาหารเหล่านี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของอาการเรื้อรังต่างๆ ที่มักเกิดขึ้นหลังจากที่เราหายจากการติดเชื้อ Covid-19

3. ผลเบอร์รี่ (Berry)

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ถูกจัดให้เป็น Super fruits เนื่องจากเป็นแหล่งสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบชั้นดี ทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินที่หลากหลาย โดยสารเหล่านี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงของอาการเรื้อรังต่างๆ และบำรุงสุขภาพโดยรวม

4. โปรไบโอติก (Probiotic)

โปรไบโอติกมักพบได้ในอาหารหมักดองต่างๆ โดยแบคทีเรียที่มีประโยชน์จะช่วยเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร ลำไส้และช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้ที่มีอาการลองโควิด เนื่องจากสุขภาพของลำไส้หรือการมีระบบขับถ่ายที่ดีนั้นเชื่อมโยงกับสุขภาพโดยรวมของเรา นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่าโปรไบโอติกมีส่วนช่วยลดความรุนแรงของโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอันเนื่องมาจากอาการลองโควิด อาทิ ไข้หวัด และยังมีส่วนช่วยลดความรุนแรงหากเกิดการติดเชื้อได้อีกด้วย

อาหารที่อุดมไปด้วย Probiotic ช่วยพิชิตลองโควิดได้

  • โยเกิร์ต (Yogurt) เป็นแหล่งโปรไบโอติกชั้นดี ประกอบไปด้วยแบคทีเรียที่มีชีวิตซึ่งช่วยให้เรามีระบบขับถ่ายที่ดี ไม่เกิดการสะสมของเชื้อโรคในลำไส้
  • คีเฟอร์ (Kefir) เป็นเครื่องดื่มที่ผ่านการหมักชนิดหนึ่งคล้ายกับโยเกิร์ต แต่คีเฟอร์นั้นอุดมไปด้วยแบคทีเรียชนิดดีมากกว่า ซึ่งส่งผลให้เราได้รับโปรไบโอติกที่ดีต่อร่างกายเป็นจำนวนมาก
  • กะหล่ำปลีดอง (Sauerkraut) อีกหนึ่งแหล่งโปรไบโอติกชั้นดีช่วยพิชิตอาการลองโควิดได้ ซึ่งในกะหล่ำปลีดองจะมีแบคทีเรียที่สร้างกรดแลคติกซึ่งช่วยให้เราย่อยอาหารได้ดีขึ้น
  • กิมจิ (Kimchi) เครื่องเคียงเกาหลีที่หลายคนชื่นชอบ มักทำจากผักกาด กะหล่ำปลี หัวไชเท้าหมัก โดยกิมจิถือเป็นแหล่งโปรไบโอติกที่ดี ประกอบไปด้วยแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อลำไส้มากมาย
  • มิโซะ (Miso) หรือเต้าเจี้ยวญี่ปุ่น เป็นเครื่องปรุงรสยอดนิยมชนิดหนึ่ง มักทำจากถั่วเหลืองโดยกรรมวิธีการหมัก มิโซะเป็นแหล่งโปรไบโอติกชั้นดี เพราะประกอบไปด้วยแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายโดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันและการขับถ่าย

5. ขมิ้น (Turmeric)

ขมิ้นมีสารประกอบชนิดหนึ่งที่เรียกว่าเคอร์คูมิน (Curcumin) ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและมีสารต้านอนุมูลอิสระมาก คุณสมบัติเหล่านี้เองที่ทำให้ขมิ้นช่วยลดการอักเสบและช่วยดูแลสุขภาพโดยรวมได้

6. ขิง (Ginger)

ขิงมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่สามารถช่วยลดอาการคลื่นไส้ วิงเวียน และอาเจียนได้ ซึ่งอาการเหล่านี้มักพบบ่อยในผู้ที่มีอาการลองโควิด

7. กระเทียม (Garlic)

กระเทียมมีสารประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบและฆ่าเชื้อ กระเทียมยังถูกจัดให้เป็น Super food  ซึ่งเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีคุณสมบัติช่วยเสริมกลไกการทำงานของร่างกายในการต่อต้านหรือป้องกันโรคบางชนิดอีกด้วย

8. เมล็ดฟักทอง (Pumpkin seeds)

เมล็ดฟักทองอุดมไปด้วยแร่ธาตุสังกะสี ซึ่งสามารถช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันได้ สังกะสียังมีความสำคัญต่อการรักษาสุขภาพผม ผิวหนัง และเล็บ ซึ่งมักเป็นส่วนที่ได้รับผลกระทบจากอาการลองโควิด

แม้อาการลองโควิดจะเป็นภาวะที่หลีกเลี่ยงได้ยากในผู้ที่ได้รับเชื้อ Covid-19 แต่เราก็สามารถดูแลสุขภาพร่างกายเพื่อให้สามารถรับมือกับอาการต่างๆ ได้ โดยช่วยบรรเทาความรุนแรงของอาการต่างๆ หรือช่วยลดระยะเวลาให้น้อยลง ร่างกายสามารถฟื้นฟูกลับมามีสุขภาพดีได้อย่างรวดเร็ว เพียงปรับการรับประทานอาหาร โดยเลือกสิ่งที่ดีและเป็นประโยชนต่อร่างกาย ซึ่งโปรไบโอติกมีบทบาทสำคัญในการมีส่วนช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายแข็งแรง สามารถรับมือกับเชื้อโรคต่างๆ ได้ดี ทั้งยังช่วยปรับระบบการย่อย การขับถ่าย เสริมแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ ทำให้ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียได้ตามปกติ ไม่เกิดการสะสม สุขภาพร่างกายโดยรวมของเราจึงดีขึ้น ส่งผลให้การทำงานตามกลไกต่างๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พิชิตเหล่าอาการลองโควิดที่ไม่พึงประสงค์ได้ไม่ยากนั่นเอง

เคล็ดไม่ลับแก้ท้องอืด มีโพรไบโอติกเสริมไว้ ไม่ต้องใช้ยาระบาย

โปรไบโอติกเป็นแบคทีเรียที่มีประโยชน์ซึ่งสามารถช่วยปรับสมดุลของไมโครไบโอม (จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในร่างกายของเราตามธรรมชาติ) ในลำไส้และปรับระบบการย่อยอาหาร นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการท้องอืดโดยลดปริมาณแก๊สที่ผลิตโดยแบคทีเรียในลำไส้และช่วยเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ซึ่งสามารถช่วยย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โปรไบโอติกยังช่วยปรับสมดุลการทำงานของลำไส้ ช่วยลดระยะเวลาการย่อยอาหารและการดูดซึม ส่งผลให้สามารถลดปริมาณแก๊สที่อาจเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม โปรไบโอติกอาจไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน เราจึงควรหาข้อมูลและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนเลือกรับประทาน

5 ประโยชน์จากโปรไบโอติก แก้ท้องอืดง่ายๆ ไม่ต้องใช้ยาระบาย

1. สร้างสมดุลจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้

โปรไบโอติกช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้ได้โดยการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียที่มีประโยชน์และลดจำนวนแบคทีเรียที่เป็นอันตรายลง จึงช่วยลดอาการท้องอืดและยังทำให้สุขภาพของลำไส้โดยรวมดีขึ้นด้วย

2. ปรับระบบการย่อยอาหาร

โปรไบโอติกช่วยให้อาหารถูกย่อยได้ละเอียดมากขึ้น และมีการดูดซึมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เกิดการผลิตแก๊สน้อยลง เราจึงท้องอืดน้อยลงนั่นเอง

3. ลดการผลิตแก๊ส

โปรไบโอติกบางชนิดได้รับการศึกษาว่าสามารถช่วยลดปริมาณแก๊สที่ผลิตโดยแบคทีเรียในลำไส้บางชนิดได้ จึงส่งผลให้เรามีอาการท้องอืดน้อยลงตามไปด้วย

4. ปรับการทำงานของลำไส้

โปรไบโอติกช่วยปรับการเคลื่อนไหวของลำไส้ ส่งผลให้สามารถย่อยอาหารได้ดีขึ้นและใช้เวลาในการทำงานลดลง จึงทำให้เกิดปริมาณแก๊สในระหว่างการย่อยลดน้อยลงไปด้วย เราจึงไม่เกิดอาการท้องอืดนั่นเอง

5. เสริมระบบภูมิคุ้มกัน

โปรไบโอติกยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ดี ซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อที่อาจนำไปสู่อาการท้องอืดได้

นอกจากการมีตัวช่วยที่ดีในการแก้ปัญหาสุขภาพเมื่อเรามีอาการท้องอืดท้องเฟ้อบ่อยๆ ด้วยการเลือกรับประทานโปรไบโอติกแล้ว เรายังสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างที่ส่งผลให้เกิดอาการท้องอืดได้ เพื่อเป็นตัวช่วยให้สามารถแก้ไขอาการท้องอืดได้ดียิ่งขึ้น

5 ทริค ปรับพฤติกรรมง่ายๆ ให้ท้องไม่อืด

1. การเคี้ยวอาหาร

เราสามารถปรับพฤติกรรมง่ายๆ ในการรับประทานอาหารได้โดยเคี้ยวอาหารให้ละเอียดมากขึ้น ใช้เวลาให้นานขึ้น ค่อยๆ ทาน เคี้ยวช้าๆ ไม่ต้องรีบ เพื่อช่วยให้กระเพาะและลำไส้ย่อยอาหารได้ดีขึ้น ใช้เวลาในการทำงานลดลง แก๊สที่เกิดขึ้นในระหว่างการย่อยก็จะลดลงไปด้วย

2. อย่านอนทันที

หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว อย่ารีบนอนทันที แต่ให้เดินช้าๆ เพื่อให้ลำไส้ได้มีการขยับตัว ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายสามารถขับแก๊สออกมาได้ง่ายขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารอื่นๆ ได้ อาทิ กรดไหลย้อน

3. สังเกตการย่อยอาหารบางชนิด

คอยพยายามสังเกตร่างกายตัวเองว่ามักมีปัญหาในการย่อยอาหารบางประเภทหรือไม่ เช่น นมวัว เนื่องจากเมื่อเราอายุมากขึ้นร่างกายจะผลิตเอนไซม์ในการย่อยแล็กโทสในนมได้ลดลง ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องอืดเมื่อเราดื่มนมได้

4. เคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น

การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกาย ทั้งหลังทานอาหาร หรือในระหว่างวัน จะช่วยให้ลำไส้เกิดการขยับตัว ส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย ทำให้ท้องไม่ผูก จึงไม่เกิดแก๊สสะสมที่จะทำให้มีอาการท้องอืดนั่นเอง

5. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

ปรับพฤติกรรมการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน เนื่องจากโดยปกติแล้วน้ำจะถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้ทำให้อุจจาระเป็นก้อนแข็ง ยิ่งเราดื่มน้ำน้อยก็จะทำให้ถ่ายยากมากขึ้น การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้การขับถ่ายคล่องขึ้น

อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ มีแก๊สในท้อง เป็นอาการที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ทั้งจากกระบวนการทำงานของร่างกายเองและจากการรับประทานอาหาร รวมถึงพฤติกรรมในชีวิตประวัน แม้จะเป็นปัญหากวนใจแต่เราก็สามารถแก้ไขได้ไม่ยากด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีส่วนช่วยในระบบการย่อยอาหารและการขับถ่าย รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง โดยเฉพาะการเลือกรับประทานโปรไบโอติกที่มีส่วนช่วยโดยตรงต่อการเพิ่มแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นตัวช่วยให้เราสามารถแก้ปัญหาท้องอืดได้ไม่ยาก

ท้องผูก ระบบขับถ่ายไม่ดี โพรไบโอติก (Probiotics) ช่วยได้ มีอยู่ในอาหารอะไรบ้าง

เรื่องขับถ่ายยาก หลายๆ คนอาจคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่รู้หรือไม่หากขับถ่ายยาก ท้องผูกบ่อยๆ อาจส่งผลต่อการเกิดโรคได้ เช่น โรคริดสีดวงทวาร บางรายอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ กันเลยทีเดียว ดังนั้นเรื่องการขับถ่ายยากไม่ใช่เรื่องเล็ก ใครขับถ่ายยาก ปรับพฤติกรรมการกินด่วน เพราะการรับประทานเป็นสิ่งสำคัญของเรื่องการย่อย หากปรับแล้วไม่เกิดผลก็ต้องมีตัวช่วย “โพรไบโอติก” (Probiotics) เพื่อนสนิทของคนถ่ายยาก 

โพรไบโอติก ตัวช่วยดีๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งโดยปกติร่างกายมีโพรไบโอติกอยู่แล้ว ซึ่งเขาเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ร่างกายของเราต้องการ ช่วยเรื่องระบบทางเดินอาหารของเราทำงานได้อย่างปกติ แต่บางครั้งร่างกายที่เหนื่อยล้ารับประทานอาหารไม่เพียงพอพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้ โพรไบโอติก (Probiotics) ในร่างกายลดลงส่งผลให้ระบบทางเดินอาหารมีปัญหา เช่นการขับถ่ายยาก ดังนั้นเราต้องเพิ่มเติมเข้าไปเพื่อให้ร่างกายของเราเกิดความสมดุล

ซึ่งในปัจจุบันมีอาหารเสริมมากมายตามท้องตลาด ที่ช่วยเพิ่มไบโอติกได้ในเวลาอันสั้น แต่จริงๆ แล้ว โพรไบโอติดมีอยู่ในอาหารที่เรากินเป็นประจำทั่วไปเช่นกัน ส่วนจะมีอาหารอะไรบ้างที่ช่วยเพิ่มโพรไบโอติกให้ได้ บทความนี้จะทำให้คุณรักและอยากกินอาหารเหล่านั้นมากขึ้น ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาคุณจะเมินพวกเขาไปบ้างก็ตาม

อาหารที่มี โพรไบโอติก

1.โยเกิร์ต

คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีสำหรับโยเกิร์ต หลายๆ คนชอบกินและก็รู้ถึงประโยชน์ด้วย โยเกิร์ตมีโพรไบโอติกในปริมาณที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของอาหารเลย ที่สำคัญกินง่าย อร่อย ราคาไม่สูงมาก สามารถรับประทานได้ทุกวัน แนะนำให้กินตอนเช้าหรือตอนท้องโล่งๆ เขาจะดูดซึมประโยชน์ได้ดีที่สุด ต่ากไม่สะดวกสามารถกินเวลาใดก็ได้ เพราะสิ่งสำคัญคือเขาไปช่วยปรับสมดุลให้ระลำไส้ส่งผลให้การขับถ่ายดีขึ้น

2.นมเปรี้ยว 

นมเปรี้ยวเกิดจากการหมักทำให้เกิดจุลินทรย์เช่นกัน และโพรไบโอติก ก็เป็นจุลินทรีย์ที่อยู่ในนมเปรี้ยวด้วย ทำให้การดื่มนมเปรี้ยวช่วยให้ขับถ่ายดี รสชาติอร่อย อมเปรี้ยวๆ หวานๆ ผู้ใหญ่กินดี เด็กกินได้ สำหรับเด็กที่ขับถ่ายยากก็สามารถดื่มนมเปรี้ยวได้เช่นกัน แต่แนะนำว่า ต้องอายุ 1 ขวบขึ้นไป แต่ไม่ควรให้ดื่มเยอะเนื่องจากนมเปรี้ยวมีน้ำตาลซูโครส ทำให้เด็กฟันผุได้

3.แตงกวาดอง

หลายๆ คนเข้าใจว่า ของหมักของดองไม่มีประโยชน์ ถ้ากินอย่างพอดีมีประโยชน์และเป็นการเก็บอาหารในรูปแบบแปรรูปที่ทำให้มีอายุมากขึ้นด้วย แตงกวาดอง นอกจากอร่อยเปรี้ยวๆหวานๆ และยังให้คสามสดชื่นด้วย อีกทั้งยังช่วยลดเรื่องตะคริวได้ด้วย ที่สำคัญคือดีต่อระบบย่อยอาหาร เพราะการหมักดองทำให้เกิดกระบวนการโพรไบโอติก อีกทั้งยังทำได้ไม่ยาก ทำเก็บไว้กินเองก็ได้ หรือถ้าไม่สะดวก ปัจจุบันตามร้านซุปเปอร์มาเก็ตก็มีให้เลือกซื้อมากมาย

4.ดาร์กช็อกโกแลต

ใครว่าช็อกโกแลตทำให้น้ำหนักขึ้น จริงอยู่แต่ไม่ใช่กับเจ้า ดาร์กช็อกโกแลตเพราะเขามีน้ำตาลน้อย ไขมันต่ำ หากต้องการลดน้ำหนักอยากกินขนมดาร์กช็อกโกแลตเป็นคำตอบที่ดีมากๆ ช่วยหายยากของหวานได้อีกทั้งยังให้ประโขชน์ต่อร่างกายไม่น้อยเลย เพราะช่วยเรื่องระบบย่อยอาหารเนื่องจากมีโพรไบโอติกสูง หากกินบ่อยๆ นอกจากช่วยเรื่องระบบขับถ่ายแล้วยังช่วยลดการเกิดโรคที่เกิดจากลำไส้ได้อีกด้วย

5.กิมจิ

ขอจบด้วยเมนูสุดโปรดของสายเกาหลีเกาใจ ดูซีรีย์เกาหลีเห็นเขากินกิมจิก็อยากลองบ้าง กิมจิเป็นผักดองอาหารประจำชาติเกาหลี หากสังเกตดีๆ ก็แทบจะอยู่ในทุกๆ มื้อของอาหารเกาหลีเลย กืมจิไม่เพียงแค่ให้รสชาติที่อร่อยเพียงเท่านั้น แต่กิมจิยังช่วยให้ระบบขับถ่ายของเรามีความสมดุลขึ้นด้วย เนื่องจากเขาเป็นผักดองนี่แหละทำให้มีโพรไบโอติกสูง อีกทั้งเป็นผักมีกากใยย่อยง่ายอีกด้วย 

“กินอะไรได้แบบนั้น” อยากมีร่างกายที่สุขภาพดี เราก็ต้องเลือกกินของที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ความสุขง่ายๆ ในทุกๆ วันของเรา การขับถ่ายดี ไม่เครียด ก็ส่งผลดีให้กับร่างกายมีรอยยิ้มเติมพลังการชีวิตได้อย่างมีความสุขแบบสมดุล

ท้องไส้ปั่นป่วน อาหารเสริมสำหรับเด็ก แบบไหนถึงจะดี?

เมื่อไรลูกถ่ายยาก ถ่ายไม่ดี ความเครียดย่อมเกิดกับคุณพ่อคุณแม่ ยิ่งถ้าลูกน้อยของคุณไม่กินข้าวด้วยแล้ว อาหารเสริมเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เพราะจะช่วยให้ลูกของคุณถ่ายท้องได้เป็นอย่างดี อีกทั้งอาหารเสริมยังช่วยให้น้องๆ แข็งแรงและโตตามวัยสมควร เราเลยรวบรวมอาหารเสริมสำหรับเด็กมาให้คุณแม่ๆ ได้ลองเลือกมาห้น้องๆ นอกจาอร่อยแล้วยังช่วยให้ลูกของคุณท้องไส้ไม่ปั่นป้วน ถ่ายคล่อง ค่ายดี ท้องไม่ผูกเป็นปัญหาทำให้ลูกของคุณงอแงอีกด้วย

 

อาหารเสริม สำหรับเด็ก ช่วยท้องไม่ผูก

1.ลูกพรุน

เนื่องจากลูกพรุนมีกากใยอาหารชนิดที่ละลายน้ำได้อย่างดี ช่วยแก้ปัญหาในเรื่องท้องผูกได้ ซึ่งกินได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลย ไม่เพียงแค่ช่วยในเรื่องของท้องผูกเท่านั้น แต่ยังช่วยบำรุงผิวพรรณได้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นอาหารเสริมสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ไปพร้อมๆ กัน กินได้ประโยชน์ทั้งครอบครัวเลยทีเดียว อีกทั้งยังรับประทานไม่ยาก เปรี้ยวหวานเด็กกินง่ายกินเพลินด้วย แต่มีประโยชน์แล้วลูกพรุนก็มีข้อเสียด้วยเช่นกัน กินแค่พอดีเพราะหากกินมากไปจะทำให้กลายเป็นท้องเสีย ถ่ายบ่อยได้

2.แครอท

แครอท สามารถรับประทานได้ทั้งดิบ และสุก แต่สำหรับอาหารเสริมสำหรับเด็ก แนะนำทำให้สุกก่อน จะช่วยให้เด็กๆ กินง่ายมากขึ้นอีกทั้งสีสันยังสวยน่ารับประทาน ซึ่งแครอทจะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพเรื่องของการทำงานระบบย่อยอาหารให้ดีขึ้น พร้อมกับมีฤทธิ์ช่วยเรื่องขับถ่ายพยาธิได้ด้วย หากอยากได้ระบบขับถ่ายที่ดีการกินเจ้าแครอทถือเป็นตัวช่วยได้ดีมากๆ สำหรับเด็กและผู้ใหญ่เลย อีกทั้งยังอร่อยกินเล่นก็ได้หรือปรุงเป็นอาหารก็อร่อยไม่แพ้กัน

3.โยเกิร์ต

เพียงพูดถึงโยเกิร์ต เชื่อว่าแม่ๆ หลายคนก็รู้ถึงประโยชน์เขาแล้ว เพราะเป็นอาหารเสริมเด็กช่วยในเรื่องการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี เราเคยเห็นบางครอบครัวให้ลูกน้อยรับประทานช่วงเย็นเพื่อที่ช่วงเช้าตื่นมาจะได้ขับถ่ายเป็นเวลา เนื่องจากโยเกิร์ตทีแบคทีเรียที่มีชีวิต คือแลคโตบาซิลลัส กับ สเตรปโตคอกคัส ในร่างกายเราก็มีเจ้า 2 สิ่งนี้อยู่ช่วยรักษาสมดุลลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารขับถ่ายได้เป็นอย่างดี สำหรับเด็กที่ถ่ายยาก ท้องผูก การรับประทานโยเกิร์ตจึงเป็นอาหารเสริมที่มีประโยชน์มากๆ ปัจจุบันมีโยเกิร์ตกรอบสำหรับเด็กๆ ด้วยช่วยให้กินง่ายคล้ายๆ ขนมของกินเล่นเลย  

4.แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลประโยชน์เยอะมาก กินแล้วดีสุดๆ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ นอกจากรสชาติอร่อย เปรี้ยวๆ หวานๆ ไม่แข็งกินง่ายแล้ว เขายังมีกากใยอาหารสูง ช่วยเรื่องระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดี ปรับสมดุลแบททีเรียในลำไส้ช่วยให้ระบบการย่อยดี ท้องไม่ผูก ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารได้เป็นอย่างดี ในผู้ใหญ่บางรายที่ต้องการควบคุมน้ำหนักก็นิยมรับประทานแอปเปิ้ลเช่นกัน ช่วยให้อิ่มง่าย ไม่หิวบ่อย ระบบขับถ่ายดี อีกทั้งยังช่วยเรื่องผิวพรรณให้ดูสวยสมวัยอีกด้วย

5.กล้วย

ลูกบ้านไหนท้องผูกต้องมีกล้วยติดบ้านไว้ ไม่ว่าจะกล้วยอะไรก็กินง่ายช่วยให้ถ่ายคล่องได้เช่นกัน ทั้งกล้วยน้ำหว้า กล้วยไข่ กล้วยหอม เพราะกล้วยมีกากอาหารที่จะช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นได้ ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ท้องผูกถ่ายไม่ค่อยดี กินกล้วยเลยขับถ่ายเป็นปกติได้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้นจริงๆ

และอีกสิ่งสำคัญนอกจากไม่ต้องเสียเงินมากแล้วยังช่วยให้เด็กๆ ถ่ายคล่อง ถ่ายดี ท้องไม่ผูกด้วย คือ น้ำเปล่า ช่วยให้ท้องไม่อืด ช่วยให้อุจจาระนิ่ม การเคลื่อนตัวออกจากลำไส้ได้ง่าย ขับถ่ายสบายมากๆ เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ สำหรับใครชับถ่ายยาก นอกจากโพรไบโอติกช่วยได้แล้ว การดื่มน้ำเปล่ามากๆ ก็ช่วยให้ถ่ายคล่องสบายท้องได้เช่นกัน

เราใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของคุณและเก็บข้อมูล
เพื่อประสิทธิภาพของเว็บไซต์ คุณสามารถตั้งค่าความยินยอม
การใช้คุกกี้ได้โดยคลิกที่ การตั้งค่าคุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    Cookies Details

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    Cookies Details

บันทึก