5 เรื่องที่คุณไม่รู้ เกี่ยวกับ ยา วิตามิน รู้ก่อนไม่เสี่ยงโรค

เรื่องของ ยา วิตามิน ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องดีช่วยเสริมร่างกาย รักษาอาการป่วยต่างๆ ได้ เพราะทั้งยา วิตามิน หากได้รับในปริมาณมากไปก็ส่งผลเสียต่อร่างกาย สุขภาพเช่นกัน วันนี้เราได้รวมผลข้างเคียง ผลเสีย ของยา วิตามิน มาฝาก เพื่อฝห้ผู้บริโภคเข้าใจมากขึ้น และไม่เสี่ยงต่ออาการอันตรายและไม่เสี่ยงต่อโรคบางชนิดด้วย ยา วิตามิน รู้ก่อนรับประทานดีกว่าเพื่อกันข้อผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นได้

5 เรื่องยา วิตามิน รู้ก่อนรับประทาน เซฟกว่า

1.วิตามินซี ไม่ควรกินมากเกินไป

ถึงแม้วิตามินซีเมื่อรับปาระทานไปแล้วจะถูกขับออกมาเองได้ ด้วยการปัสสาวะ ไม่เกิดการสะสมในร่างกาย แต่การรับประทานเกินความจำเป็นจะทำให้จะจะกอนและอาจเกิด นิ่วที่ไตได้ และปริมาณที่กินแล้วไม่ดีต่อร่างกายคือ วันละ 10-15 มิลลิกรัม แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าร่างกายรับเยอะไปหรือไม่ ให้สังเกตที่สีปัสสวะ หากมีสีเหลือเข้มหรือสีส้มแสดงว่าเกิดการขับที่มากขึ้นครั้งต่อไปแนะนำให้ลดปริมาณการรับประทานวิตามินซี 

2.วิตามินไม่ควรรับประทานตอนท้องโล่ง

ช่วงเวลาที่กินวิตามินและได้ผลดีที่สุดคือ กินพร้อมอาหารหรือรับปทานอาหาร เพื่อการดูดซึมที่ดี เช่น วิตามินซี วิตามินบีรวม แต่หากกินตอนท้องโล่ง แต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรเลย จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระเพาะอาหารได้ เนื่องจากวิตามินซี มีฤทธิ์เป็นกรด แล้วยิ่งถ้าใครเป็นโรคกระเพาะอยู่แล้วการกินวิตามินซีตอนท้องว่างก็จะไปกระตุ้นให้ปวดท้องอาการกำเริบมีปัญหาเรื่องการย่อยอาหารตามมาอีก 

3.คนท้องสามารถ รับประทานวิตามินซีได้

คนท้องกินวิตามินซีได้ และเป็นวางที่ดีและมีประโยชน์ด้วยนะ แต่ว่าต้องในปริมาณที่พอเหมาะเช่นกัน สำหรับคนท้องรับประทานวิตามินซี 85 มิลลิกรัมต่อวันก็เพียงพอ แต่ทางที่ดีเราแนะนำให้คุณแม่กินวิตามินซีที่ได้จากธรรมชาติดีกว่า เช่นในผลไม้ กล้วย ส้ม เป็นต้น

4. วิตามิน ส่งผลเสียได้

โดยทั่วไปขึ้นชื่อว่าวิตามินจะไม่ค่อยมีผลเสียกับร่างกาย แต่หากมากเกินไปก็จะส่งผลเสียทำให้ร่างกายเราก่อเกิดโรคเจ็บป่วยได้เช่นกัน อย่าง วิตามิน B3 E และ A ทั้ง 3 วิตามินนี้ ถ้ากินเกินปริมาณจะทำให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะบางอย่างได้ เช่น B3 ทำลายตับทำให้เกิดอาการตับวายได วิตามิน E เกิดอาการหัวใจล้มเหลวได้ และ วิตามิน A เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดถึงแม้ไม่ได้สูบบุหรี่ก็ตาม 

5.วิตามินบี 12 และ วิตามินซี ไม่ควรกินคู่กัน 

เนื่องจากวิตามินซีจะทำให้การดูดซึมในทางเดินอาหาร วิตามินบี 12 ดูดซึมได้ลดลง แนะนำให้กินวิตามินซี และ วิตามินบีห่างกันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง สำหรับประโยชน์ของวิตามินบี 12 ช่วยในการทำงานที่เหมาะสมของระบบประสาท เหนื่อยล้า ตรึงเครียด วิตามินบี 12 ช่วยได้เพราะเขามีส่วนช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงช่วยให้ร่างกายหายอ่อนล้าได้ 

ทุกอย่างย่อมมี 2 ด้านเสมอ ต่อให้ ยา วิตามิน อาหารเสริม จะมีประโยชน์และเป็นผลดีต่อร่างกาย หากได้รับปริมาณมากเกินความต้องการ หรือรับประทานไม่ถูกวิธีก็ย่อมเกิดโทษได้ หรืออาจกินไปแล้วไม่เกิดประโยชน์เพราะเรากินแบบไม่ถูกวิธี ซึ่งก็เสียเปล่า เสียทั้งเงิน เสียความรู้สึก เสียเวลา ดังนั้นก่อนรับประทานยา วิตามิน ควรอ่านฉลากก่อน หาข้อมูลให้รอบด้าน หากเป็นสิ่งที่แพทย์สั่งก็ทำตามอย่างเคร่งคัดเพื่อประโยชน์ต่อร่างกายของคุณเอง

5 สิ่งช่วยลูกได้เมื่อท้องผูก ถ่ายคล่องสบายใจแม่ ยาระบายเด็กไม่ต้องใช้

ไม่ว่าลูกจะป่วยหรือไม่สบายเรื่องใด คุณแม่ต่างก็กังวลใจกันทั้งนั้น ยิ่งเรื่องท้องไส้การขับถ่ายของลูกน้อยยิ่งต้องให้ความใส่ใจ ลูกถ่ายยาก ถ่ายไม่เป็นเวลา มีอาการท้องผูก หนึ่งสัปดาห์ขับถ่ายไม่ถึง 3 ครั้ง รีบหายาระบายเด็กเพื่อจะช่วยให้ลูกขับถ่ายได้คล่องสบายท้องมากขึ้น แต่อันที่จริงแล้ว ยาระบายท้องเป็นเพียงตัวช่วยชั่วคราวเท่านั้นอีกทั้งยังไม่เป็นผลดีต่อลูกด้วยหากรับประทานติดต่อกันนานๆ แต่จะดีกว่าไหมหากมีวิธีจะช่วยให้ลูกน้อยของคุณถ่ายคล่อง ขับถ่ายดี ลดอาการท้องผูกได้แบบไม่ต้องพึ่งยาระบายใดๆ

5 วิธีช่วยลูก ลดท้องผูกไม่ต้องใช้ยาระบาย

1.กินนมแม่

น้ำนมแม่มีส่วนช่วยทำให้ลูกน้อยขับถ่ายคล่องสบายท้อง มีโพรไบโอติกที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เป็นตัวช่วยย่อยและดูดซึมง่าย ลดอาการท้องอืดได้ มีส่วนช่วยทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มเวลาถ่าย นอกจากรับประทานนมแม่แล้ว ควรให้อาหารเสริมที่เหมาะสมตามวัยเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง

2.เปลี่ยนนมผง

สำหรับคุณแม่ที่มีน้ำนมน้อย จำเป็นต้องให้ลูกน้อยกินนมผง เราแนะให้เปลี่ยนสูตรนม เพื่อให้ลูกได้รับโปรตีนและแคลเซียมสูงขึ้น แต่ต้องค่อยๆ ปรับเปลี่ยน โดยผสมนมสูตรเดิมปริมาณมากกว่าสูตรใหม่ แล้วจึงค่อยๆ ลดปริมาณนมสูตรเดิมลง และเพิ่มปริมาณนมสูตรใหม่ เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของคุณชินกับรสชาติของนมและลำไส้ปรับตัวกับการย่อยนมอีกด้วยซึ่งจะช่วยให้การขับถ่ายลูกดีมากขึ้น

3.กินผักผลไม้สด

หากลูกน้อยถึงวัยที่รับประทานอาหารเสริมได้แล้ว ควรให้ลูกกินผักผลไม้สด เพราะมีไฟเบอร์ช่วยย่อยได้ และดื่มน้ำมากขึ้น ใยอาหารไม่ใช่สารอาหาร แต่มีประโยชน์กับร่างกาย มีด้วยกัน 2 ชนิดคือ ใยอาหารชนิดที่ละลายน้ำและชนิดที่ไม่ละลายน้ำบางชนิดมีคุณสมบัติเป็น พรีไบโอติก (prebiotics) คือจะไม่ถูกย่อยในลำไส้ลำไส้เล็กผ่านระบบทางเดินอาหารไปสู่ลำไส้ใหญ่ และกลายเป็นอาหารของจุลินทรีย์มีประโยชน์ในลำไส้ที่เรียกว่า  โพรไบโอติก  (Probiotic) ช่วยให้จุลินทรีย์เจริญเติบโตได้ดีและทำให้ลูกน้อยถ่ายดีขึ้นไม่ต้องพึ่งยาระบายเด็กเลย

4.ให้ลูกเคลื่อนไหวร่างกาย

เคลื่อนไหวน้อยแต่ต้องให้เคลื่อนไหวนะ เพราะช่วยให้ลำไส้ของลูกทำงานได้ดีขึ้น คุณพ่อคุณแม่จึงห้ามลืมเรื่องนี้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการยกขาลูกสลับขึ้นลงเบา ๆ คล้ายกับการปั่นจักรยานอากาศ คล้ายๆ กับการออกกำลังกายของผู้ใหญ่จะช่วยให้การขับถ่ายได้ดีมากขึ้นได้เช่นกัน เมื่อถ่ายเป็นปกติยาระบายก็ไม่ต้องใช้เลย

5.อาบน้ำอุ่น

ถ้าบ้านไหนให้ลูกอาบน้ำอุ่นอยู่แล้ว เราจะบอกว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ แต่ถ้าคุณแม่คุณพ่อบ้านไหนยังให้ลูกน้อยอาบน้ำอุณหภูมิปกติ เราแนะนำลองเปลี่ยนให้มาอาบน้ำอุ่นซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายให้ลูกได้เป็นอย่างดี เนื่องจากน้ำอุ่นจะช่วยให้สบายตัวและช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องผ่อนคลาย จึงช่วยลดอาการท้องผูกได้ด้วย

แต่หากลองทั้ง 5 วิธีข้างต้นไปแล้ว ลูกยังมีอาการท้องผูก ถ่ายยาก 2-3 วันถ่ายครั้งเดียว หรือไม่ถ่ายเลย ควรพาไปพบแพทย์ และไม่ควรซื้อยาระบายเด็กให้ลูกกินเองเพราะอาจเกิดผลข้างเคียงได้ เพราะยาบางตัวสำหรับเด็กก็ไม่เหมาะสมและอาจรักษาได้ไม่ตรงจุดด้วย

 

โปรไบโอติก 8 ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ถ้ากินไม่ถูกวิธี

จุดเริ่มต้นของสุขภาพที่ดีมักเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ อย่างจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้ ที่มีส่วนสำคัญในระบบการย่อยและดูดซึมสารอาหาร รวมไปถึงเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของเรา แต่การจะมีจุลินทรีย์ที่ดีได้เราต้องมีส่วนช่วยในการสร้างสมดุลและเสริมการเจริญเติบโตด้วยอาหารที่อุดมไปด้วยโปรไบโอติก

โปรไบโอติกคืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร

โปรไบโอติก เป็นจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์มาก มีส่วนสำคัญในการช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ เสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร นอกจากนี้ยังช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย โปรไบโอติกสามารถพบได้ในอาหารและอาหารเสริมบางชนิด อาทิ นมเปรี้ยว โยเกิร์ต คีเฟอร์ มิโซะ กิมจิ และคอมบูชา ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นอาหารเสริมหลากหลายรูปแบบ เพิ่มความสะดวกในการรับประทาน การเพิ่มโปรไบโอติกในอาหารจะช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น และสุขภาพโดยรวมดีขึ้น อย่างไรก็ตาม หากรับประทานโปรไบโอติกในปริมาณมากเกินไปก็อาจส่งผลข้างเคียงได้

หากรับประทานโปรไบโอติกมากเกินไปจะเป็นอย่างไร

1. อาการท้องอืดท้องเฟ้อ 

การรับประทานโปรไบโอติกในบางคนอาจส่งผลให้เกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้เนื่องจากมีแก๊สในกระเพาะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่เริ่มรับประทานโปรไบโอติกครั้งแรก อย่างไรก็ตามผลข้างเคียงนี้มักเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวและจะบรรเทาลงเมื่อร่างกายปรับตัวได้ดีขึ้น

2. อาการท้องร่วง

ในบางกรณีโปรไบโอติกอาจทำให้เกิดอาการท้องร่วง ซึ่งมักเกิดจากการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในลำไส้ที่เพิ่มขึ้น ในเบื้องต้นหากมีอาการท้องเสียให้ลดปริมาณหรือหยุดรับประทานโปรไบโอติกจนกว่าอาการจะดีขึ้น

3. อาการแพ้

ในบางคนอาจมีอาการแพ้โปรไบโอติกบางชนิด หากพบว่ามีอาการแพ้ให้หยุดรับประทานโปรไบโอติกและไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

4. อาการปวดท้อง

การรับประทานโปรไบโอติกอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องได้ในบางคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานในช่วงแรก แต่ก็มักจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวและจะดีขึ้นเมื่อร่างกายปรับตัวเข้ากับแบคทีเรียตัวใหม่ได้

5. อาการปวดหัว

แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย แต่ในบางคนอาจมีอาการปวดหัวเมื่อรับประทานโปรไบโอติก ซึ่งโดยปกติแล้วไม่ใช่อาการข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป หากมีอาการปวดรุนแรงจึงควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเร็ว

อย่างไรก็ตาม อาการข้างเคียงเหล่านี้ไม่มีอันตรายร้ายแรงและมักเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว เมื่อร่างกายสามารถปรับตัวได้อาการเหล่านี้ก็จะดีขึ้น โดยเราสามารถแก้ไขเบื้องต้นได้ด้วยการลดปริมาณหรือหยุดรับประทานโปรไบโอติกจนกว่าจะดีขึ้น แต่หากมีอาการมากหรืออาการนั้นเป็นอยู่นานก็ควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำปรึกษา

6. รบกวนการดูดซึมสารอาหาร

การรับประทานโปรไบโอติกบางสายพันธุ์อาจรบกวนความสามารถในการดูดซึมสารอาหารบางชนิดของร่างกาย อาทิ เหล็ก สังกะสี และแคลเซียม ซึ่งสามารถนำไปสู่การขาดสารอาหารได้

7. เพิ่มระดับฮีสตามีน

โปรไบโอติกสามารถเพิ่มการผลิตฮีสตามีนในลำไส้ ซึ่งอาจนำไปสู่อาการแพ้ในบางคนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ฮีสตามีนอยู่แล้ว

8. ความเสี่ยงของการติดเชื้อ

แม้โปรไบโอติกจะช่วยลดการติดเชื้อได้ แต่ในบางคนโปรไบโอติกสามารถเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อได้เช่นกัน โดยเฉพาะในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV หรือมะเร็ง เนื่องจากโปรไบโอติกจะนำแบคทีเรียใหม่เข้าสู่ลำไส้ ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อหากระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อใหม่ได้

อาการข้างเคียงอื่นๆ ในการรับประทานโปรไบโอติก

นอกจากนี้การรับประทานโปรไบโอติกยังอาจส่งผลข้างเคียงอื่นๆ ได้ อาทิ ท้องผูก คลื่นไส้ อาการคันหรือผื่นผิวหนัง หรืออาจรบกวนการใช้ยาบางชนิด ซึ่งผลข้างเคียงของโปรไบโอติกนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละคน สิ่งสำคัญคือต้องคอยสังเกตอาการของตัวเองและควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีโรคประจำตัว อยู่ในขั้นตอนการรักษา หรือกำลังใช้ยาใดๆ

โปรไบโอติกนั้นมีประโยชน์มากต่อร่างกาย ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้และเสริมระบบย่อยอาหารให้แข็งแรง นอกจากนี้ยังสามารถช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น แต่การรับประทานโปรไบโอติกในปริมาณมากเกินไป หรือในบางคนที่ค่อนข้างไวต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ ก็อาจเกิดผลข้างเคียงได้ เราจึงควรรับประทานโปรไบโอติกอย่างเหมาะสม โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เชื่อถือได้ มีข้อมูลให้อย่างครบถ้วนและชัดเจน นอกจากการดูแลสุขภาพโดยรับประทานโปรไบโอติกเสริมแล้ว เรายังควรปรับพฤติกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพควบคู่ไปด้วย อาทิ การพักผ่อน หรือการเลือกรับประทานอาหารที่ครบหมู่

 

Prebiotic และ Probiotic ความแตกต่างที่เข้าใจง่าย

ตามปกติแล้วภายในร่างกายของเรานั้นจะมีจุลินทรีย์อาศัยอยู่โดยธรรมชาติ เมื่อเรามีอาการเจ็บป่วยต่างๆ จะส่งผลให้จุลินทรีย์เหล่านั้นเกิดการเสียสมดุล และในทางกลับกัน หากร่างกายเกิดการเสียสมดุลของจุลินทรีย์ อาจด้วยพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ก็จะทำให้เรามีอาการเจ็บป่วยตามมาได้ ในปัจจุบันจึงได้มีผู้คิดค้นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ขึ้นเพื่อช่วยรักษาสมดุลให้แก่จุลินทรีย์เหล่านี้ ทั้ง Prebiotic (พรีไบโอติก) และ Probiotic (โปรไบโอติก) ซึ่งมีส่วนช่วยให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกายเกิดการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Prebiotic (พรีไบโอติก) คืออะไร

Prebiotic เป็นเส้นใยอาหารชนิดหนึ่งที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กของเราย่อยไม่ได้ แต่จุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่สามารถย่อยได้ ซึ่ง Prebiotic นี้ช่วยให้แบคทีเรียชนิดดีในลำไส้เจริญเติบโตได้ดี ทำให้สุขภาพของระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายเป็นไปตามปกติ Prebiotic จัดเป็น Functional Food หรืออาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ นอกเหนือจากพื้นฐานทางโภชนาการต่างๆ ตัวอย่างเช่น กระเทียมที่มีสารช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดได้

Prebiotic มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร

1. ดูแลสุขภาพของลำไส้

Prebiotic ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้ ซึ่งช่วยบำรุงระบบย่อยอาหารและสุขภาพของลำไส้โดยรวมได้

2. เสริมระบบภูมิคุ้มกัน

Prebiotic ช่วยให้เกิดความสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและยังช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อต่างๆ อีกด้วย

3. ช่วยลดการอักเสบ 

มีการศึกษาพบว่า Prebiotic มีส่วนช่วยลดการอักเสบต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง อาทิ โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง

4. ช่วยควบคุมน้ำหนัก

Prebiotic ช่วยควบคุมความอยากอาหารและการเผาผลาญให้เป็นปกติ จึงมีส่วนเสริมให้การควบคุมน้ำหนักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

5. สุขภาพจิตดีขึ้น 

Prebiotic มีความเชื่อมโยงกับอารมณ์และกระบวนการทำงานของสมองที่ดีขึ้น ทั้งยังช่วยลดอาการวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าได้

Probiotic (โปรไบโอติก) คืออะไร

Probiotic เป็นจุลินทรีย์ชนิดดี ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้และเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารให้มีประสิทธิภาพ และยังช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย เราสามารถพบ Probiotic ได้ในอาหารและอาหารเสริมบางชนิด โดยมีอาหารที่อุดมไปด้วย Probiotic เช่น โยเกิร์ต คีเฟอร์ กะหล่ำปลีดอง กิมจิ และคอมบูชา นอกจากนี้ยังมีอาหารเสริมโปรไบโอติกที่สามารถบริโภคได้ในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งสามารถหาซื้อได้ทั่วไป ช่วยให้สะดวกในการรับประทานมากขึ้นและรับประโยชน์จากโปรไบโอติกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

Probiotic มีความสำคัญอย่างไร

1. การย่อยอาหารดีขึ้น

Probiotic ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการย่อยอาหารและช่วยลดอาการท้องอืด แก๊สในกระเพาะ และอาการท้องผูก

2. เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน

Probiotic ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยเพิ่มการผลิตแอนติบอดีและเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันการติดเชื้อและการเจ็บป่วยต่างๆ

3. ลดความเสี่ยงโรคภูมิแพ้

Probiotic ได้รับการศึกษาว่าสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคภูมิแพ้โดยเฉพาะในทารกและเด็กได้

4. สุขภาพจิตดีขึ้น

Probiotic ส่งผลดีต่อสุขภาพจิตโดยรวม ทั้งยังช่วยลดอาการวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าได้

5. ควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น

Probiotic สามารถช่วยควบคุมน้ำหนักได้โดยควบคุมความอยากอาหารและส่งเสริมการเผาผลาญ พร้อมลดการดูดซึมไขมัน

ความแตกต่างระหว่าง Prebiotic กับ Probiotic

Prebiotic คือไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ต้องย่อยและดูดซึมโดยจุลินทรีย์ที่มีในลำไส้เล็กเท่านั้น สามารถพบได้ในอาหาร เช่น พืช ผัก ผลไม้ ธัญพืชและถั่วต่างๆ ส่วน Probiotic ก็คือจุลินทรีย์ที่มีชีวิตพบได้ในลำไส้ของเรา โดยมีอาหารที่อุดมไปด้วยโปรไบโอติก ได้แก่ โยเกิร์ต คีเฟอร์ กะหล่ำปลีดอง และอาหารเสริม เป็นต้น Probiotic มีส่วนสำคัญในกระบวนการย่อยอาหารและระบบขับถ่ายของร่างกาย หรือพูดง่ายๆ ก็คือ Prebiotic เป็นอาหารของ Probiotic ที่ช่วยเสริมสร้างแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ และส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันที่ดีโดยรวมของร่างกาย

ทั้ง Prebiotic และ Probiotic ต่างก็มีความสำคัญต่อสุขภาพของเรา การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยพรีไบโอติกช่วยเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้หรือโปรไบโอติก ซึ่งมีผลโดยตรงต่อระบบการย่อยอาหารและระบบขับถ่ายที่มีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ดี ทำให้กระบวนการต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ตามปกติ จึงทำให้สุขภาพโดยรวมของเราดีขึ้น สุขภาพกายดี สุขภาพใจก็ดีตาม เรียกว่ามีประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมรอบด้านเลยทีเดียว

วิธีแก้ลูกท้องอืด 5 วิธีคุณแม่ทำเองได้ไม่ยาก

ปัญหาท้องอืดในเด็ก โดยเฉพาะในวัยแรกเกิดเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย เนื่องจากระบบทางเดินอาหารของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ เอนไซม์ในการย่อยโปรตีนและแลคโตสยังทำงานไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดการเสียสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ เกิดเป็นกรดแก๊สหรือลมในทางเดินอาหาร ซึ่งอาจมาจากขณะกินนมแล้วเด็กดูดนมช้าหรือเร็วเกินไป การกลืนลมเข้าท้องขณะดูดนมอยู่ การดูดนมที่มีฟองอากาศจำนวนมาก รวมไปถึงการร้องไห้มากเกินไปด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ปัญหาท้องอืดไม่ได้เป็นปัญหาที่อันตรายมากนัก แต่จะสร้างความอึดอัดให้กับลูกน้อย เช่น แน่นท้อง รู้สึกไม่สบายตัว ส่งผลให้ลูกน้อยร้องไห้งอแงขึ้นมาได้

วิธีสังเกตอาการเมื่อลูกท้องอืด มีดังนี้

  • ร้องไห้บ่อย 
  • หงุดหงิดง่าย 
  • ดิ้นหลังจากทานนมเสร็จ
  • หลังทานนมแล้วแอ่นท้อง แอ่นตัว
  • แสดงปฏิกิริยาให้เห็นว่ารู้สึกอึดอัด 
  • หน้าแดง
  • ท้องแข็ง 
  • ท้องป่อง 
  • เรอบ่อย 
  • ผายลมบ่อย แต่ไม่ขับถ่าย
  • หายใจไม่สะดวก

5 วิธีแก้ท้องอืดสำหรับเด็ก

1. จัดท่าให้นมอย่างถูกต้อง 

  • กรณีที่ลูกเข้าเต้า ให้ลูกอ้าปากงับครอบให้ถึงลานนม โดยยกศีรษะลูกให้อยู่สูงกว่าลำตัวเล็กน้อย คางชิดเต้าและจมูกเชิด เพื่อป้องกันไม่ให้ลมเข้าท้อง จนนำไปสู่อาการท้องอืดนั่นเอง 
  • กรณีลูกดูดนมจากขวด ให้ยกขวดนมตั้งขึ้น เพื่อป้องกันลูกกลืนอากาศจากขวดนม โดยนมในขวดจะต้องท่วมจุกนมขณะดูด และเมื่อดูดนมหมดขวดแล้วให้เอาขวดนมออกจากปากทันที ห้ามให้ลูกดูดขวดเปล่าเด็ดขาด เพราะจะทำให้ลูกดูดลมเข้าไปในท้อง แล้วลูกจะท้องอืดนั่นเอง

หลังติดเชื้อโควิด 7 อาการสังเกตได้ นี่แหละลองโควิด

ในปัจจุบันนี้การติดเชื้อโควิด-19 (Covid-19) นั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป เพราะมีทั้งวัคซีนที่จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิต หรือป่วยหนักจากโควิด-19 (Covid-19) ให้น้อยลง และมียารักษาที่กินเข้าไปอาการโควิดของคุณจะดีขึ้น และคนก็เริ่มทยอยติดเชื้อโควิด-19 (Covid-19) กันมากมาย หลายคนถึงกับติดเชื้อซ้ำเป็นครั้งที่สองก็ยังมี แต่ทว่าอีกสิ่งหนึ่งที่ติดตามมาจากการป่วยเป็นโควิด-19 (Covid-19) นั่นก็คือการมีภาวะเป็นลองโควิด (Long Covid) เป็นอาการที่ยังเหลือหลังจากการป่วยเป็นโรคโควิด กล่าวคือลองโควิดนั้นจะมีอาการที่ไม่ตายตัวว่าจะต้อง ไอ เจ็บคอ หรือว่าเหนื่อยง่ายแต่เพียงเท่านั้น เพราะบางคนล้วนแต่แตกต่างกันออกไป บางคนอาจจะเหนื่อยง่ายกว่าปกติ บางคนอาจมึนหัว สมาธิสั้น หรือบางคนก็ยังไออยู่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเชื้อโควิด-19 (Covid-19) จะไม่มีอยู่ในร่างกายแล้วนั้น แต่ภาวะลองโควิดยังมีอยู่ ดังนั้นจะพาไปดู 7 อาการที่สังเกตได้ว่าคุณเป็นลองโควิดหรือเปล่า ลองไปอ่านแล้ววิเคราะห์อาการตัวเองดู 

 

7 อาการสังเกต ลองโควิด

1. หอบเหนื่อย 

หนึ่งในอาการที่พบมากที่สุดของผู้ป่วยที่มีภาวะเป็นลองโควิดคือการหอบเหนื่อย เพราะการเป็นโรคโควิดนั้นเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจโดยตรง หรือผู้ที่มีประวัติไวรัสลงปอด ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนนั้นแย่ลง ดังนั้นคนส่วนมากควรสังเกตตนเองว่าหลังจากที่หายโควิดแล้ว ยังมีอาการเหนื่อยหอบ หรือหายใจลำบาก เวลาเดินขึ้นลงบันไดนั้นเหนื่อยง่ายกว่าเดิมหรือไม่ ถ้าหากว่าใช่แปลว่าคุณเองนั้นมีภาวะของลองโควิด แม้เชื้อโควิด-19 จะหายไปแล้ว แต่ยังทิ้งร่องรอยของการเหนื่อยหอบไว้หลังจากที่ป่วย

2. ไอเรื้อรัง

ไม่ใช่แค่การหอบเหนื่อยเท่านั้น แต่อาการลองโควิดที่คนหมู่มากมักจะพบเจอ นั่นคืออาการ “ไอเรื้อรัง” ที่หลายคนมักจะคิดว่าแค่อาการไอธรรมดา แต่ถ้าไอติดต่อกันเป็นเดือนหรือสองเดือน ให้พึงระวังไว้เลยว่านี่คืออาการของลองโควิดอย่างแน่นอน ไม่ใช่แค่อาการไอเท่านั้น บางคนไอแบบมีเสมหะปนด้วย ทั้งนี้การเป็นลองโควิดด้วยการไออย่างต่อเนื่อง และเรื้อรัง ยังไม่มียาที่รักษาโดยเฉพาะ แต่ก็สามารถกินยาเพื่อรักษาตามอาการ แนะนำอีกหนึ่งอย่างคือการไปทำกายภาพบำบัดปอด เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้อาการดีขึ้น 

3. การหายใจไม่อิ่ม และไม่สุด

ให้ลองสังเกตอาการตนเองดูว่าเวลาหายใจเข้านั้น คุณหายใจเข้าได้สุด และรู้สึกว่าสูดหายใจได้เต็มปอดหรือไม่ เพราะส่วนมากคนที่เป็นลองโควิดควบคู่กับอาการหอบเหนื่อย รวมถึงไอเรื้อรังมักจะหายใจได้ไม่สุด หรือไม่เต็มปอด ซึ่งอาการนี้สามารถพบได้ทั่วไปในคนที่มีภาวะลองโควิด เนื่องจากภูมิคุ้มกันในร่างกายที่มียังถูกปล่อยออกมาสู้กับอาการโควิด-19 (Covid-19) ทำให้ร่างกายยังคงมีความอักเสบ หลอดลมจะยังคงไวกว่าปกติ และทำให้ยังคงมีอาการเหล่านี้ ซึ่งถ้าหากใครมีอาการหายใจไม่สุดอย่างรุนแรง หรือส่งผลต่อการดำเนินชีวิต แนะนำว่าให้ไปพบแพทย์โดยด่วนที่สุด

4. รู้สึกเหมือนยังมีไข้

เนื่องจากโควิด-19 (Covid-19) นั้นส่งผลให้ร่างกายยังคงมีความอักเสบอยู่ ไม่ใช่แค่ระบบทางเดินหายใจ แต่รวมถึงระบบอื่นๆ ภายในร่างกาย ดังนั้นบางคนที่มีอาการลองโควิด นั้นจึงมีอาการเหมือนยังมีไข้อยู่ ซึ่งความรู้สึกนี้สามารถเป็นหลังจากที่ติดเชื้อโควิด-19 (Covid-19) แล้ว บางคนอาจจะมีอาการรู้สึกเหมือนยังมีไข้ไปได้อีกหลายเดือนหลังจากหาย เป็นอีกหนึ่งอาการลองโควิดที่พบได้บ่อย และถ้าหากคุณหายจากโควิด-19 (Covid-19) และยังรู้สึกเหมือนมีไข้ ให้รู้เลยว่านี่แหละหนึ่งอาการของภาวะลองโควิด 

5. ปวดศีรษะ

เป็นเพราะว่าโควิด-19 (Covid-19) นั้นส่งผลต่อระบบประสาท และสมอง จึงทำให้ผู้ที่เป็นลองโควิดนั้นมีอาการปวดศีรษะ ซึ่งอาจจะต้องแยกว่าเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้วหรือไม่ หรืออาการปวดศีรษะนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นระยะเวลานานหรือเปล่า ถ้าหากเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นระยะเวลานานหลังจากหายจากอาการโควิด-19 (Covid-19) คุณอาจจะเป็นลองโควิด ซึ่งอาการปวดศีรษะนี้ ยังรวมไปถึงการมึนหัว หรือรู้สึกวิงเวียนด้วย

6. สูญเสียการรับรส

บางคนที่ติดเชื้อโควิด-19 (Covid-19) มักจะสูญเสียการรับรส หรือว่าการดมกลิ่น แต่ถ้าหากหลังจากหายแล้วยังสูญเสียการรับรสอยู่ แน่นอนว่าคุณเป็นลองโควิดอย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นผลมาจากการกระทบต่อระบบประสาท เนื่องจากสาเหตุที่เชื้อโควิด-19 ได้ทำการแพร่เข้าไปที่เซลล์ประสาทนั่นเอง ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจถ้าหากคุณยังคงสูญเสียการรับรสอยู่ หลังจากที่หายจากอาการโควิด-19 (Covid-19) แล้ว ภาวะลองโควิดนั้นมาเยือนอย่างแน่นอน

7. สูญเสียความทรงจำระยะสั้น

แม้อาจจะดูไม่เกี่ยวแต่อาการสูญเสียความทรงจำระยะสั้น หรืออาการหลงลืม ก็เป็นอีกหนึ่งอาการของลองโควิด ให้คุณลองสังเกตอาการตัวเองดูว่าหลังจากที่หายจากอาการโควิด-19 (Covid-19) แล้ว มีอาการหลงลืมบ้างหรือไม่ อาจจะไม่ได้เป็นการสูญเสียความทรงจำที่ร้ายแรง แต่มักจะเป็นอาการขี้หลงขี้ลืม หรือลืมบางชั่วขณะไปนั่นเอง แต่อาการเหล่านี้มักจะหายไปเองหลังจากที่ผ่านช่วงโควิด-19 (Covid-19) ไปในระยะเวลา 1-2 เดือนขึ้นไป แต่ถ้าอาการไม่ดีก็อย่าลืมไปพบแพทย์เพื่อรักษาตามอาการ

อันที่จริงแล้วอาการของลองโควิดนั้นมีมากกว่าที่กล่าวมา อาทิ กล้ามเนื้อไม่มีแรง ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว หรือตามข้อต่างๆ รวมถึงสภาพจิตใจ เพราะบางคนต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นระยะเวลานาน ก็อาจจะมีความวิตกกังวล หรือซึมเศร้าเข้ามาร่วมด้วย แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มียาที่รักษาอาการลองโควิดอย่างเป็นทางการ ดังนั้นถ้าหากว่าคุณสังเกตตนเองแล้วพบว่ามีภาวะลองโควิด แล้วกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หรืออยากให้อาการดีขึ้น ควรที่จะไปพบแพทย์เพื่อรักษาตามอาการ แล้วหมั่นดูแลสุขภาพให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ 

 

อย่ากังวลถ้าลูกกินนมผงเสริม ผสานพลัง HMO ได้ ประโยชน์จัดเต็ม

เพราะเราเข้าใจดีว่า ไม่ใช่คุณแม่ทุกคนที่สามารถให้นมแม่กับลูกได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเรื่องน้ำนมแม่น้อย ปัญหาทางด้านสุขภาพต่างๆ ของคุณแม่หรือของตัวลูกน้อย อีกทั้งยังเรื่องปัญหาทางด้านเวลาของคุณแม่ที่ต้องทำงานนอกบ้านอาจไม่สะดวกสำหรับการให้นมแม่ ฯลฯ จึงจำเป็นต้องให้ลูกกินนมผงเสริมระหว่างให้นมแม่คู่กันไปด้วย ซึ่งคุณแม่บางคนก็คงเกิดความกังวลว่าลูกน้อยจะได้สารอาหารไม่ครบถ้วนหรือไหมนะ? โดยเฉพาะ “โอลิโกแซคคาไรด์” หรือ Human Milk Oligosaccharides (HMO) ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญในน้ำนมแม่ที่มีมากเป็นอันดับ 3 รองจากน้ำตาลแลคโตสและไขมัน HMO มีส่วนช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยให้ระบบขับถ่ายของลูกดี อีกทั้ง HMO ยังลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบขับถ่าย พร้อมเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของลูกได้อีกด้วย

แต่หากคุณแม่น้ำนมน้อย น้ำนมไม่พอ เราอยากบอกกับคุณแม่ทุกคนว่า ไม่ต้องกังวลว่า ลูกเราจะไม่ได้รับ HMO จะเข้าสู่ในร่างกายลูกไม่เพียงพอ เพราะหากคุณแม่คลอดลูกออกมาแล้วมีการให้นมลูกทันทีในช่วงที่มีน้ำนมมีสีเหลือง ช่วงนี้นี่แหละเป็นช่วงที่น้ำนมมี HMO สูงที่สุดแล้ว และระหว่างทางที่ให้ลูกกินนมผงเสริมไปด้วย สารอาหารในนมผงก็จะช่วยผสานพลังกับ HMO ในน้ำนมแม่ ทำให้ลูกได้รับภูมิต้านทานที่ดีได้เช่นกัน เพราะวิวัฒนาการและกระบวนการผลิตนมผงในปัจจุบันนี้ ได้มีการผสมสารอาหารสำคัญหลายอย่างที่จำเป็นสำหรับเด็กและมีคุณประโยชน์ใกล้เคียงกับนมแม่ด้วย

โดยงานวิจัยของบริษัทผู้ผลิตนมผงหลายแห่งนั้นก็ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลงานวิจัยออกมาว่า หาก 2’-FL หรือ 2’-ฟูโคซิลแลคโตส (2’-Fucosyllactose) ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงสร้างของ HMO จาก 200 กว่าโครงสร้าง ทำงานร่วมกับซินไบโอติก (Synbiotic) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่ดีต่อลำไส้ ก็จะช่วยทำให้ประสิทธิภาพในการเสริมสร้างภูมิต้านทานของเด็ก ช่วยให้ระบบทางเดินอาหาร ระบบขับถ่ายของเด็กดีมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดโอกาสในการเจ็บป่วย เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โรค RSV โรคภูมิแพ้ ฯลฯ ได้ด้วย

ดังนั้นหากคุณพ่อ คุณแม่ที่ให้ลูกกินนมผงเสริมก็ไม่ต้องกังวลใจแล้วว่าลูกจะขาดสารอาหาร เพราะเด็กจำนวนไม่น้อยที่เติบโตมาจากนมผงเช่นกัน แต่สิ่งที่คุณพ่อ คุณแม่ควรใส่ใจคือการเลือกนมผงให้เหมาะกับสุขภาพของลูก เช่น หากลูกมีปัญหาท้องผูก อุจจาระแข็ง ก็ควรเลือกนมผงสูตรย่อยง่าย หรือหากลูกมีปัญหาเรื่องการย่อยอาหาร ท้องอืดบ่อย มีแก๊สในท้องมาก ก็ควรเลือกนมผงสูตรไม่มีแลคโตส (Lactose-Free) เป็นต้น

อาหารเสริมเด็ก 8 เมนูคุณแม่ทำเองได้ ช่วยบำรุงร่างกายลูกรัก

ช่วงอายุ 6 เดือนขึ้นไป เป็นช่วงที่สมองและร่างกายของเด็กกำลังพัฒนาเติบโต ซึ่งเราเข้าใจดีกว่าคุณพ่อ คุณแม่เองก็ต้องการให้ลูกรักได้รับการพัฒนาอย่างเต็มขั้น โดยเฉพาะด้านโภชนาการที่มีส่วนสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็ก ซึ่งหลังจากลูกน้อยมีอายุครบ 6 เดือนแล้ว จำเป็นจะต้องได้รับสารอาหารเพิ่มเติม จากเดิมที่ทานแต่นมแม่เพียงอย่างเดียวก็ต้องมีอาหารเสริมเด็กที่มีเนื้อสัมผัสมากขึ้น เพื่อเพิ่มทักษะในการเคี้ยว การใช้ลิ้น การกลืนอาหาร การใช้มือจับอาหาร ฯลฯ ซึ่งวันนี้เรามี 8 เมนูอาหารเสริมเด็กที่คุณแม่สามารถนำไปทำเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน เพื่อบำรุงร่างกายลูกรักมาฝากกัน

แต่ก่อนที่จะไปดูว่ามีเมนูอาหารเสริมเด็กอะไรบ้าง เรามีทริคเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการเริ่มต้นป้อนอาหารสำหรับเด็กในช่วงแรกฝากกันด้วย

  • หลังจากลูกมีอายุครบ 6 เดือนและคุณพ่อ คุณแม่ตัดสินใจว่าจะเริ่มให้ลูกทานอาหาร เราแนะนำให้เริ่มจากอาหารที่มีส่วนผสมหลักเพียงอย่างเดียวก่อน เช่น ฟักทองบด แครอทบด เพื่อสังเกตว่าลูกของเราแพ้อาหารชนิดนั้นหรือไม่ โดยให้ลูกได้ทานอาหารเมนูเดิมนั้นสัก 3 วัน แล้วค่อยเปลี่ยนเมนู
  • บดอาหารให้ละเอียดที่สุด เมื่อลูกเริ่มทานได้คล่องแล้ว ค่อย ๆ บดหยาบมากขึ้น เพื่อฝึกการเคี้ยว
  • ตอนอายุครบ 6 เดือน ให้เริ่มป้อนอาหารเพียง 1 มื้อก่อน ปริมาณอาหารไม่ต้องมาก จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มปริมาณอาหารเอา
  • เริ่มป้อนอาหาร 2 มื้อ หลังจากลูกมีอายุ 8 เดือน สามารถให้ลูกเริ่มทานข้าวบดหยาบกับน้ำซุปผักได้
  • เริ่มป้อนอาหารครบ 3 มื้อ หลังจากลูกมีอายุ 1 ปี โดยในวัยนี้อาหารที่ลูกทานแต่ละมื้อ จะเข้ามาแทนนมแม่ที่เคยเป็นอาหารหลัก โดยคุณพ่อ คุณแม่สามารถให้ลูกทานข้าวสวยเป็นเม็ดได้แล้ว เพื่อให้ลูกได้ฝึกเคี้ยวไปด้วย
  • อาหารแต่ละมื้อต้องไม่ใช้เครื่องปรุงรส หรือไม่ปรุงอาหารรสจัดให้ลูกทาน เพื่อป้องกันลูกติดรสจัด และป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น ฟันผุ โรคอ้วน เป็นต้น
  • ระหว่างทานอาหารไม่ควรดึงดูดความสนใจลูกหรือหลอกล่อให้ทานข้าว ด้วยการให้ดูโทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ หรือให้เล่นของเล่น
  • ฝึกให้ลูกนั่งทานอาหารที่โต๊ะ เพื่อลูกจะได้รู้หน้าที่และรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่

และสำหรับ 8 เมนูอาหารเสริมเด็กทำเองได้ ช่วยบำรุงร่างกายลูกรัก เช่น

1. ข้าวฟักทองบด

เมนูข้าวฟักทองบด เป็นเมนูอาหารเสริมเด็กที่ทำง่ายแสนง่าย โดยฟักทองนั้นอุดมไปด้วยแคลเซียม เบตาแคโรทีน วิตามินบี 1, 2, 3, 5, 6 วิตามินซี วิตามินอี ฯลฯ ซึ่งมีประโยชน์กับเด็กหลายอย่าง เช่น ช่วงบำรุงสายตา ช่วงเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยทำให้ผิวพรรณดี ช่วยให้ขับถ่ายคล่อง เป็นต้น

ส่วนผสม

  • ข้าวสวยหรือข้าวกล้องหุงสุก 6 ช้อนโต๊ะ
  • ฟักทองหั่นละเอียด 15 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำซุปผักหรือน้ำต้มสุก 180 มิลลิลิตร

วิธีทำ

  1. นำข้าวสวย ฟักทอง และน้ำซุปผักต้มด้วยกัน
  2. เคี่ยวจนข้าวเริ่มเปื่อย เนื้อฟักทองสุกและมีความนิ่มมาก 
  3. นำไปปั่นให้ละเอียดหรือจะบดก็ได้ จากนั้นรอให้เริ่มเย็นแล้วค่อยป้อนลูก

 

2. ตุ๋นฟักทอง แครอท ไข่แดง

ตุ๋นฟักทอง แครอท ไข่แดง เมนูอาหารเสริมเด็กที่เหมาะกับเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป เมนูนี้อุดมไปด้วยสารอาหารหลายอย่างที่มีประโยชน์แก่ลูกรัก เพราะรวมทั้งฟักทองที่ช่วยบำรุงสายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน มีแครอทที่ช่วยบำรุงสายตา ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดียิ่งขึ้น และที่สำคัญคือมีไข่แดงที่ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาทให้กับลูกได้

ส่วนผสม

  • ฟักทองสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ 
  • แครอทสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ 
  • ผักกาดขาวสับละเอียด 1 ใบ 
  • ไข่แดง 1 ลูก ยีด้วยส้อมจนละเอียด
  • น้ำต้มสุกเล็กน้อย

วิธีทำ

  1. นำฟักทอง แครอท และผักกาดขาวไปต้มให้สุก
  2. ใส่ไข่แดงลงไป 
  3. เติมน้ำต้มสุกลงไปเล็กน้อย 
  4. เคี่ยวส่วนผสมทุกอย่างให้เนียนเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นอันเสร็จพร้อมเสิร์ฟ

 

3. มันฝรั่งตับบด

มันฝรั่งตับบดเป็นอาหารเสริมเด็กที่ช่วยเสริมสร้างธาตุเหล็กให้กับร่างกาย เพราะตับมีส่วนช่วยเสริมสร้างฮีโมโกบิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง คอยทำหน้าที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มีโปรตีนที่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อ มีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงรักษาเนื้อเยื่อในตาให้แข็งแรง ส่วนมันฝรั่งนั้นช่วยทำให้ระบบขับถ่ายของลูกน้อยดีขึ้น ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง  ช่วยให้หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง  ป้องกันภาวะโลหิตจาง ฯลฯ

ส่วนผสม

  • ตับหมูหหรือตับไก่หั่นชิ้นเล็ก 100 กรัม
  • มันฝรั่งหั่นชิ้นเล็ก 150 กรัม 
  • ผักตำลึง 3 ใบ
  • น้ำซุปกระดูกหมู 150 กรัม

วิธีทำ

  1. นำตับและมันฝรั่งไปนึ่งจนสุก
  2. นำตับ มันฝรั่ง และใบตำลึงไปปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน โดยเติมน้ำซุปกระดูกหมูลงไปด้วยเล็กน้อย
  3. นำน้ำซุปกระดูกหมูที่เหลือไปตั้งไฟ แล้วนำส่วนผสมทั้งหมดที่ปั่นได้ลงไปเคี่ยวอีกครั้งจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นอันเสร็จ

 

4. ซุปมักกะโรนี 

ซุปมักกะโรนี เหมาะสำหรับเด็กอายุ 8 เดือนขึ้นไป เมนูนี้จะทำให้เด็กได้ฝึกเคี้ยว เพราะมีส่วนผสมของมักกะโรนี เนื้อไก่ และแครอท โดยเมนูนี้ลูกจะได้รับทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินเอ เบตาแคโรทีน แคลเซียม ที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน บำรุงสายตา เสริมสร้างภูมิต้านทาน เสริมสร้างการเจริญเติบโตของเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ฯลฯ

ส่วนผสม

  • มักกะโรนีต้มสุก 6 ช้อนโต๊ะ
  • เนื้อไก่ต้มสุก หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือฉีกเป็นฝอย 3 ช้อนโต๊ะ
  • แครอทต้มสุก 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำซุปไก่ 150 มิลลิลิตร

วิธีทำ

  1. ต้มน้ำซุปไก่จนเดือด จากนั้นใส่เนื้อไก่และแครอทลงไปต้มอีกครั้งจนเนื้อนิ่ม แล้วค่อยปิดเตา
  2. นำมักกะโรนีที่ต้มไว้สุกแล้วใส่ชาม จากนั้นตักน้ำซุปราดได้เลย เป็นอันเสร็จพร้อมเสิร์ฟ

 

5.  ไข่ตุ๋นผักสามสี

ไข่ตุ๋นผักสามสี อีกหนึ่งอาหารเสริมเด็กที่เป็นเมนูทำง่ายและมีประโยชน์ ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่เหมาะกับการทำให้ลูกน้อยทานเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนผสม

  • ไข่ไก่ 1 ฟอง 
  • ฟักทองหั่นเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ 
  • แครอทหั่นเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ 
  • ใบตำลึงสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ 
  • น้ำซุปกระดูกหมู 3 ช้อนโต๊ะ 
  • เกลือป่นเล็กน้อย

วิธีทำ

  1. ตีไข่ไก่กับน้ำซุปกระดูกหมูให้เข้ากัน จากนั้นกรองผ่านกระชอน 

  2. นำฟักทอง แครอท และใบตำลึงสับละเอียดใส่ลงไป จากนั้นคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน พร้อมปรุงรสด้วยเกลือเล็กน้อย 

  3.  เทส่วนผสมทั้งหมดใส่ชามแล้วนึ่งด้วยไฟอ่อนจนสุก เป็นอันเสร็จ

 

6. ผัดมะเขือม่วงไก่สับ

มะเขือม่วงนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระ ดีต่อระบบย่อยอาหาร และแก้อาการท้องผูกในเด็กได้ด้วย ดังนั้นผัดมะเขือม่วงไก่สับจึงเป็นหนึ่งในเมนูอาหารเสริมเด็กที่เราแนะนำให้คุณแม่ทำให้ลูกทาน

ส่วนผสม

  • มะเขือม่วงหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 2 ช้อนโต๊ะ
  • ไก่สับ 2 ช้อนโต๊ะ 
  • แครอทหั่นเต๋า 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันพืช 1 ช้อนชา
  • กระเทียม 1 กลีบ 
  • น้ำซุปไก่

วิธีทำ

  1.  ตั้งกระทะ  

  2. ใส่ไก่สับลงไปผัด เติมน้ำซุปไก่ลงไป 

  3. เมื่อเดือดแล้วให้ใส่มะเขือม่วงและแครอทผัดจนสุก เป็นอันเสร็จเรียบร้อย จะเสิร์ฟคู่กับข้าวพร้อมเสิร์ฟคู่กับข้าวสวยหรือข้าวตุ๋นก็ได้ตามที่ลูกชอบ

 

7. มะเขือเทศผัดไข่

หากพูดถึงอาหารเสริมเด็ก จะไม่พูดถึงเมนูที่มีมะเขือเทศเป็นส่วนผสมคงจะไม่ได้ เพราะมะเขือเทศนั้นอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ช่วยบำรุงสายตา ช่วยทำความสะอาดลำไส้ ทำให้ขับถ่ายสะดวกขึ้น พร้อมเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้ผิวลูกน้อยชุ่มชื้นขึ้นด้วย

ส่วนผสม

  • มะเขือเทศราชินี 5 ลูก 
  • ไข่แดง 2 ฟอง 
  • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ   
  • กระเทียม 1 กลีบ 
  • น้ำซุปกระดูกหมู 2 ช้อนโต๊ะ   

วิธีทำ

  1. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันและกระเทียมลงไปผัดให้หอม

  2. ใส่มะเขือเทศลงไปผัดจนสุก

  3. ตีไข่แดงให้เข้ากันแล้วเทลงไปในกระทะ 

  4. เติมน้ำซุปกระดูกหมูลงไปแล้วผัดจนมะเขือเทศเละ เป็นอันเสร็จพร้อมเสิร์ฟ

 

8. ซุปปลาช่อนผักรวม

แน่นอนว่าปลาช่อนมีประโยชน์มาก เพราะมีโอเมก้าสูงกว่าปลาน้ำจืดชนิดอื่น ๆ ดังนั้นเมนูซุปปลาช่อนผักรวมเป็นเมนูอาหารเสริมเด็กที่เราแนะนำให้คุณพ่อ คุณแม่ ลองทำให้ลูกน้อยทานกัน

ส่วนผสม

  • เนื้อปลาช่อน 300 กรัม 
  • แครอทหั่นเต๋า ½ ถ้วยตวง 
  • ฟักทองหั่นเต๋า ½ ถ้วยตวง 
  • ฟักหั่นเต๋า ½ ถ้วยตวง 
  • ใบเตย

วิธีทำ

  1. นำปลาช่อนไปล้างด้วยน้ำเกลือเพื่อลดกลิ่นคาว และล้างออกด้วยน้ำสะอาด
  2. นำปลาช่อนไปนึ่งจนลุก โดยรองด้วยใบเตยเพื่อดับกลิ่นคาวและเพิ่มกลิ่นหอมให้กับเนื้อปลา
  3. นำปลาช่อนที่นึ่งสุกแล้วมาพักไว้ให้เย็น จากนั้นนำก้างออกให้หมด แล้วยีเนื้อปลาให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ
  4. ต้มน้ำให้เดือด จากนั้นนำแครอท ฟักทอง และฟักไปต้มให้สุก
  5. นำเนื้อปลาใส่ชาม แล้วตักน้ำซุปผักราดลงไปเป็นอันเสร็จพร้อมเสิร์ฟลูกน้อย

เราใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของคุณและเก็บข้อมูล
เพื่อประสิทธิภาพของเว็บไซต์ คุณสามารถตั้งค่าความยินยอม
การใช้คุกกี้ได้โดยคลิกที่ การตั้งค่าคุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    Cookies Details

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    Cookies Details

บันทึก